Explorer one Team

บริษัท เอ็กซ์พลอเรอร์วัน จำกัด ก่อตั้งโดย อนุกูล สอนเอก นักสำรวจวิจัยทางภูมิศาสตร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมปีนเขาเอเวอร์เรสต์ปี 2007 ตั้งขึ้นมาจากประสบการณ์ทำงานและประสบการณ์ผจญภัยที่หลากหลาย พวกเราพร้อมนำท่านเข้าสู่โลกผจญภัย กิจกรรมกลางแจ้งและการสำรวจทางธรรมชาติวิทยา Explorer One Team คือแหล่งรวมผู้เชี่ยวชาญด้านสำรวจถ้ำ ปีนหน้าผา การพายคยัคล่องแก่ง การใช้ชีวิตในป่ารวมไปถึงการสำรวจทางภูมิศาสตร์ การใช้แผนที่และเ็ข็มทิศ อีกทั้งยังดำเนินงานให้การอบรมในศูนย์ฝึกทักษะการผจญภัยแขนงต่าง ๆ รวมไปถึงการกู้ภัยพิเศษประเภทต่าง ๆอาทิการกู้ภัยทางน้ำ หน้าผาสูง ในถ้ำ หรือแม้แต่การร่วมปฏิบัติงานกู้ภัยในป่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงความชำนาญกว่า 18 ปีบนเส้นทางสายนี้

14/5/54

สำรวจน้ำบ่อผี(Spirit Well)

 การสำรวจไขความลึกลับของ น้ำบ่อผี


          น้ำบ่อผีเป็นชื่อที่รู้จักกันดีใน กลุ่มของน้ำสำรวจถ้ำในต่างประเทศ ในชื่อของ “SPIRIT WELL” ซึ่งเป็นปล่องถ้ำที่มีขนาดใหญ่ มีความลึกตั้งแต่ 90-170 เมตร ปล่องถ้ำด้านล่างมีขนาดใหญ่ มีต้นได้ขึ้นเบียดเสียดกันหนาแน่น  น้ำบ่อผีถูกจัดอันดับให้เป็นถ้ำที่น่าสนใจถ้ำหนึ่งของเมืองไทย  หรืออาจอยู่ในระดับโลกเลยทีเดียว เพราะถ้ำนี้เคยต้อนรับทีมสำรวจของ National Geographic ที่ได้นำความงามของปากปล่องไปอวดสายตาชาวโลกมาแล้ว
          น้ำบ่อผีถูกค้นพบเมื่อประมาณ 30 กว่าปีที่แล้ว  โดยชาวมูเซอดำ ออกไปล่าสัตว์และพบกับปล่องถ้ำขนาดใหญ่มีลักษณะเหมือนบ่อน้ำ และตั้งชื่อว่า “ฮะกุนี” เป็นหลุมที่มีความกว้างกว่า 100 เมตร มีกำแพงหินผาที่สูงชันรอบด้าน ไม่มีเส้นทางที่มนุษย์คนใดสามารถลงไปได้ ก้นบ่อมีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น และเขียวสดตลอดปี ซึ่งต่างจากป่าด้านบน  จึงนำมาสู่ความเชื่อถึงเรื่อง ผีที่สิงสถิตย์และปกปักรักษา
          เมื่อ 12 ปีที่แล้ว เมื่อผมได้มีโอกาสเริ่มต้นการสำรวจถ้ำกับจอห์น สปีซ์  ในแต่ละวันที่อยู่ที่ Cave Lodge ดูเหมือนจะมีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับความลึกลับของถ้ำในเขตปางมะผ้า น้ำบ่อผีก็เป็นถ้ำหนึ่งที่จอห์นพูดถึงตลอดเวลา ในยุคของการบุกเบิกถ้ำใหม่ ๆ ในปางมะผ้า  มันคือปล่องถ้ำขนาดใหญ่ มีหน้าผาอยู่รอบด้าน และมีต้นไม้ขึ้นหนาแน่นอยู่ตลอดเวลา ด้านหนึ่งมีปากถ้ำขนาดใหญ่อยู่ทางด้านทิศตะวันตก ซึ่งไม่รู้ว่าจะนำไปออกที่ถ้ำใดในบริเวณนั้น บางทีอาจนำไปสู่โถงใดโถงหนึ่งในถ้ำน้ำลางที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน  เมื่อมีความสงสัย ย่อมนำมาสู่การสำรวจ ซึ่งไม่เคยมีใครเคยคิดมาก่อนเลยว่าการสำรวจของทีมแรกในครั้งนั้นจะนำพาความทรงจำที่ยากจะลืมเลือนมาสู่ผู้ร่วมคณะทุกคน
          วิธีการเดียวที่ทีมสำรวจลงไปได้ก็คือ การใช้เชือกโรยตัวลงลงหน้าผาด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความสูงถึง 90 เมตร เนื่องจากรอบด้านเป็นหน้าผาชัน อีกทั้งหากจะกลับขึ้นมาก็มีเพียงวิธีการเดียวอีกเช่นกันก็คือการไต่เชือก ใช้เวลาประมาณ 1 ช.ม.
          หลังจากเสร็จสิ้นการสำรวจและกลับสู่ที่พักแล้ว เคอร์รี่หนึ่งในทีมสำรวจเกิดอาการช็อค จนหัวใจหยุดเต้น หลังจากกลับขึ้นมาเพียงไม่กี่ชั่วโมง จนต้องหามส่งโรงพยาบาลตอนกลางดึกในคืนเดียวกัน ผลที่เกิดขึ้นจากอาการโคมากับร่างกายของเคอร์รี่ก็คือ เป็นอัมพาตจนต้องส่งกลับออสเตรเลียโดยด่วน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลายเป็นเรื่องเล่าขานและตอกย้ำให้กับชาวบ้านชาวมูเซอบ้านลุข้าวหลามถึงเรื่องการท้าทายกับสิ่งศักดิ์สิทธ์ของน้ำบ่อผี เจ้าที่เจ้าทางที่สิงสถิตย์อยู่ในนั้นจนไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าไปอีกเลย
          ในช่วง 30 กว่าปีมานี้ น้ำบ่อผีได้ต้อนรับการเยี่ยมเยือนของนักสำรวจถ้ำ เพียงแค่  5  ชุดเท่านั้น และมีคนไม่ถึง 20 คนในโลกที่มีโอกาสลงไปสัมผัสกับความลึกลับ ความสวยงามของปล่องถ้ำด้านล่าง  ด้วยกำแพงหน้าผาหินสูงชันรอบด้าน อันเป็นปราการทางธรรมชาติที่ยากแก่งการเข้าถึง น้ำบ่อผีจึงยังคงเก็บงำความลึกลับไว้ได้ 
มีเพียงกลุ่มคนที่มีทักษะและความสามารถพิเศษเท่านั้น ที่สามารถเข้าไปสัมผัสความลึกลับและความงามของธรรมชาติเบื้องล่างได้  พวกเราทั้ง 6 คนถือได้ว่าเป็นคนไทยกลุ่มแรก ที่มีโอกาสเข้าไปสัมผัสกับความลึกลับและความวิจิตรพิศดารของโถงน้ำด้านล่างที่ถูกกล่าวขานโดยทีมสำรวจต่างประเทศ และเป็นความลับมานานหลายปี

ธันวาคม  2546
          ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 ตั้งแต่มาที่ Cave Lodge ครั้งแรก ได้ฟังเรื่องราวความลึกลับมากมาย จากวันนั้นจนถึงวันนี้ กว่า 12 ปีที่ผมฝันว่าจะได้ลงสำรวจน้ำบ่อผี  กับอีก 5 ปีกับความตั้งใจเตรียมความพร้อมที่จะเข้าสำรวจเพื่อสัมผัสกับความลึกลับของน้ำบ่อผีด้วยตัวเอง ทุกอย่างใกล้จะเป็นความจริง แผนการสำรวจคร่าว ๆ ได้วางขึ้น การสำรวจจะเริ่มต้นช่วงสิ้นปีพอดี 
ทีมสำรวจถ้ำคนไทย 6 คน ซึ่งทุกคนจะต้องสามารถใช้งานเชือกได้ดี และสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้หากเกิดปัญหาขณะโรยตัว  พวกเรามีเวลาอย่างน้อย 1 เดือนในการเตรียมตัว เตรียมทีม ฝึกเทคนิคที่ต้องใช้เชือกขณะทำการสำรวจ 
หลังจากที่ผมมองหาเพื่อน ๆ ที่อาสาสมัครเข้าสำรวจน้ำบ่อผี ได้สมาชิก 6 คน โดยผมรับผิดชอบเป็นหัวหน้าทีม ในแต่ละวันตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม  พวกเราทั้ง 6 คนจะไปนัดพบกันที่  OUTSIDE GYM  เป็นยิมสำหรับปีนหน้าผาแถว ๆ แยกวังหินวันละ 3-4 ช.ม.เพื่อฝึกหัดเทคนิคด้านเชือกทุกชนิด โดยผมมีหน้าที่ฝึกทุกคน ถ่ายทอดในสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องรู้ เพื่อที่จะร่วมเดินทางไปสำรวจ  ทุกเทคนิคเกี่ยวกับเชือก ไม่ว่าจะเป็นการโรยตัว  การไต่เชือก การข้ามเงื่อนในกรณีต่อเชือก  การผ่าน ANCHOR  หรือแม้แต่การช่วยเหลือตัวเองและช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อถึงคราวจำเป็น  
เพราะสิ่งที่ผมรับรู้และรู้สึกตลอดเวลาว่าการสำรวจน้ำบ่อผี เป็นสิ่งที่อันตรายและมีความเสี่ยงสูงพราะ
1.   พวกเราต้องฝากชีวิตไว้กับเชือกเพียงอย่างเดียว
2.   สภาพแวดล้อมที่เราจะต้องเจอขณะลงสำรวจเป็นสิ่งที่พวกเราไม่เคยรู้มาก่อน ทั้งสภาพหน้าผา  สภาพอากาศ  การเปลี่ยนแปลงของระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในปล่องถ้ำ และอุปสรรคอื่นๆ บนเส้นทาง เพราะมีข้อมูลอยู่น้อยมาก ทำให้เราไม่สามารถวางแผนอย่างรัดกุมได้ทุกอย่างล้วนเป็นการคาดการณ์ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นพวกเราจะต้องพร้อมในทุก ๆ ด้าน เพื่อรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น
3.   อุบัติเหตุจากการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคนที่อยู่ด้านบน หากพวกเราลงสำรวจและมีคนปลดเชือก นั่นก็หมายความว่า พวกเราไม่สามารถกลับขึ้นไปได้
การจัดเตรียมความพร้อมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการสำรวจ ไม่ว่าจะเป็นเชือกที่มีความยาวรวมกว่า 450 เมตร บางส่วนเป็นเชือกพิเศษ ผลิตจากเส้นใยโพลีเอสเตอร์ เป็นเชือกที่ออกแบบมาสำหรับการสำรวจถ้ำและทำงานในแนวดิ่งโดยเฉพาะ มีความแข็งแรง ทนทานต่อการขัดสี และมีความแข็งแรงกว่าเชือกที่ขายอยู่ในเมืองไทยในขณะนี้ เชือกทุกเส้นต้องได้รับการทดสอบความแข็งแรงก่อนไปใช้งานโดยใช้เครื่องดึงไฮโดรลิคดึงให้ขาด  เพื่อดูการรับน้ำหนักสูงสุด จนเราแน่ใจถึงความแข็งแรงก่อนนำไปใช้งาน ซึ่งทำให้พวกเราอุ่นใจมากขึ้น
สัมภาระ เสื้อผ้าและอุปกรณ์แค้มป์ปิ้งที่พวกเรานำไปจะต้องมีน้ำหนักเบาที่สุดและสามารถป้องกันความหนาวได้ดี เพราะเราจะต้องนำสัมภาระเหล่านั้นลงไปตั้งแคมป์นอนด้านล่าง นั่นก็หมายความว่า ขณะไต่เชือกขึ้นมา จะต้องพ่วงน้ำหนักของสัมภาระของเราเข้าไปด้วย สำหรับปัญหานี้พวกเราก็ได้รับการสนับสนุนจาก EQUINOX EXTREME ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้าที่มีน้ำหนักเบาที่ผลิตจากเส้นไยไนล่อน หรือ เสื้อแจ๊กเก็ตกันหนาว ฯลฯ ซึ่งสามารถลดภาระของทีมสำรวจไปได้เยอะ
       ในการสำรวจครั้งนี้พวกเราวางแผนบันทึกภาพนิ่ง และวีดีโอเทป พวกเรากำลังเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างประวัติศาสตร์ของเมืองไทย เพราะทีมของเราคือคนไทยกลุ่มแรกที่ลงสำรวจน้ำบ่อผี ที่ซึ่งก็ได้หนังสือ Nature Explorer มาร่วมบันทึกเหตุการณ์ร่วมกับพวกเราด้วย
เมื่อทุกอย่างพร้อม คราวนี้ก็เหลือจิ๊กซอว์ อย่างเดียวที่เหลืออยู่ก็คือเดินทางไปแม่ฮ่องสอน เพื่อพบกับจอห์น สปีซ์ นักสำรวจถ้ำคนเดียวในเมืองไทยที่รู้ข้อมูลด้านล่างของน้ำบ่อผี  เพื่อวางแผนขั้นสุดท้ายก่อนลงไปสำรวจ

การทดสอบความพร้อมของทีม
26 ธันวาคม 2546
          หลังจากจัดสัมภาระขึ้นหลังรถเสร็จ พวกเราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ตอนสาย เป้าหมายของเราในวันนี้คือ เดินทางเพื่อไปพักยังอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อไปเก็บภาพและบรรยากาศของอำเภอปายในตอนเช้า กว่าจะถึงปายก็ประมาณ 22.00 น. ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นของทางภาพเหนือ ทำให้ เพชร และจะเด็ด ที่นั่งอยู่กระบะหลังถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน ขณะที่เดินทางมาพวกเราได้แต่ภาวนาว่าคือนี้น่าจะมีที่นอนอุ่น ๆ นอน เพราะช่วงนี้เป็นช่วงวันหยุดยาว นักท่องเที่ยวจะเยอะมากจนที่พักแรมใน อำเภอปายอาจจะเต็มหมด แต่ก็โชคดีที่ยังพอมี เกสต์เฮ้าสต์บางแห่งว่าง หลังจากติดต่อที่พักเสร็จแล้ว ทุกคนต่างพุ่งเข้าหาที่นอน สลบไสล เพราะเพลียจากการเดินทางมาทั้งวัน

27 ธันวาคม 2546
           อากาศที่เย็นเยียบในตอนเช้า ทำให้ผมตื่นขึ้นมาแต่เช้า พร้อมกับเสียงตะโกนของเพชรและจะเด็ด ที่ชวนพวกเราลงเล่นน้ำ ในลำห้วย ด้านหลังเกสต์เฮ้าส์ท  อุณหภูมิตอนเช้าใน อ.ปาย ก็อยู่ราว ๆ 15 องศา แต่กับคนที่ไม่ค่อยชอบความหนาวเย็นอย่างผม ยอมอาบน้ำอุ่นในห้องน้ำดีกว่า  แต่ก็ยังมีพี่พจน์ที่หลงคารมของ ทั้งสองคน ที่ผมขออนุญาตเรียกว่า ฝันเลว ฝันร้าย ที่แอบถ่ายภาพนู้ดตอนที่ลงเล่นน้ำโดยเหลือกางเกงในตัวเดียว นับว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตลูกผู้ชายอย่างพี่พจน์ที่เดียว งานนี้ผมรับรองว่าพี่จะต้องถูกสองคนนี้อำกันตลอดชีวิตแน่ๆ
          เป้าหมายของเราในเช้านี้คือ ต้องไปดื่มกาแฟที่ร้าน All about Coffee ที่ตั้งอยู่ในเมืองปาย ร้านนี้ถือว่ามีบรรยากาศสุดคลาสสิค เนื่องจากเป็นบ้านเก่า ๆ ที่เจ้าของร้านอนุรักษ์ไว้อย่างดี การจิบกาแฟและนั่งดูผู้คนเดินไปเดินมาอยู่ริมถนน มีทั้งคนไทย และฝรั่งที่มาเที่ยว กับบรรยากาศชนบท ไม่มีความรีบเร่ง สายหมอกจาง ๆ ที่ทอดตัวปกคลุมบ้านเรือนเหมือนบรรยากาศในแดนสนธยา บรรยากาศที่นี่ในตอนเช้าเหมือนเวลาหมุนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว มักจะหาไม่ได้ในเมืองหลวง มันทำให้ผมรู้สึกสบายใจ และปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก เป็นบรรยากาศที่ผมไม่ได้เจอมานานหลายปี ตั้งแต่หยุดงานสำรวจถ้ำ และหันไปใช้ชีวิตในเมืองกรุงซะหลายปี ช่างน่าอิจฉาผู้คนที่นี่ซะจริง ๆ
          หลังจากจิบกาแฟและทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทาง โปรแกรมในวันนี้ พวกเราจะต้องไปพบจอห์น เข้าพักที่ Cave Lodge เพื่อสอบถามข้อมูลทั้งหมดจากจอห์น
          พวกเรามาถึง Cave Lodge ตั้งแต่ตอนเที่ยง เมื่อเก็บสัมภาระเข้าที่พักแรมและทานอาหารเที่ยงแล้ว ถึงเวลาที่ทีมสำรวจทุกคนจะต้องทดสอบ โดยการโรยตัวลงจากปากถ้ำลอด ซึ่งมีความสูงประมาณ 45 เมตร การทดสอบครั้งนี้เป็นการทดสอบที่สำคัญ เพราะการโรยตัวลงปากถ้ำลอด มีลักษณะเหมือนกับน้ำบ่อผี เพราะเมื่อลงมาจากด้านบนประมาณ 5 เมตร จะห้อยอยู่กับเชือกเพียงอย่างเดียว ยิ่งลงมาลึกเท่าไร โถงถ้ำยิ่งกว้างขึ้นเรื่อย ๆ  สำหรับคนที่กลัวความสูง และความกว้างของโถงถ้ำมักจะทำอะไรไม่ถูก ซึ่งบางคนจะไม่สามารถควบคุมสติของตนเองได้ ซึ่งมีโอกาสประสบอุบัติเหตุสูงมาก แต่หากเทียบกันกับน้ำบ่อผีซึ่งมีโถงถ้ำสูงและกว้างกว่านี้ 2 3 เท่า เพียงเท่านี้ก็พอจะตัดสินได้ว่า จะมีใครที่สามารถผ่านการทดสอบและข้ามขีดจำกัดของร่างกายและจิตใจของตัวเองไปได้
          ถ้าหากใครคิดว่าไม่ไหวก็คงต้องยกเลิกการลงสำรวจน้ำบ่อผีกลายเป็นทีมสนับสนุนบริเวณด้านบน คงเหลือเพียงคนที่ผ่านการทดสอบครั้งนี้เท่านั้นที่ได้ลงสำรวจ
เอาละ ตอนนี้ ผมเซ็ท Anchor เสร็จแล้ว ตอนนี้ให้จับคู่ตรวจเช็คอุปกรณ์ ก่อนลง ผมจะลงไปเพื่อเคลีย์ปลายเชือกก่อน ถ้าผมให้สัญญานให้ตามลงไปทีละคน พยายามเช็คอุปกรณ์ก่อนลงว่าไม่ได้ใส่เชือกผิดด้าน ไม่อย่างนั้นจะมีอันตรายได้ อย่าลืมเกาะเซฟตี้ช่วงที่อยู่ริมหน้าผานะ แล้วเจอกันข้างล่างโชคดีทุกคน ผมบอกกับทุกคนถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนลง เพราะหลังจากผมลงไปทุกคนจะอยู่นอกเหนือจากสายตาของผมที่จะดูแลความปลอดภัยได้ ทุกคนต้องพึ่งตัวเองให้มากที่สุด
          ผมลงมาถึงปากถ้ำด้านล่างก่อนทุกคน ปลายเชือกที่ลงมากลางลำน้ำรางพอดี เมื่อลงมาถึงพื้นจะต้องลุยน้ำเพื่อนำปลายเชือกขึ้นฝั่งพร้อมกับส่งสัญญานให้เพชรที่จะต้องลงคนถัดไปตามลงมา วู้ว...สูงจังเลยคุณกื๋อซ์ เพชรตะโกนบอก  ลงมาเลยค่อย ๆ อย่าให้เร็วมาก ระวังอุปกรณ์ร้อนเกินไปมันจะทำให้ผิวเชือกละลาย ดูเหมือนผมจะตะโกนบอกยาวไป ยังไม่ทันขาดคำ เพชรกำคันเบรค Double Stop เพื่อปล่อยตัวเองลงมาอย่างเร็ว ไม่กี่อึดใจก็เกือบถึงพื้น
          ผมรีบเข้าไปเช็คเชือกในทันที พบเปลือกนอกของเชือกสึกมากกว่าที่ควรจะเป็น ดีนะที่เชือกเส้นนี้เป็นโพลีเอสเตอร์ ที่ทนความร้อนมากกว่าปรกติ ถ้าเป็นเชือกธรรมดา เราคงใช้อีกไม่ได้แล้ว ผมบอกกับเพชร โอเคไม่เป็นไร เดี๋ยวเราไปเตรียมถ่ายภาพด้านนู้นละกัน
หลังจากนั้น เชอรี่ คุณหญิง พี่พจน์ และจะเด็ด ก็โรยตัวตามลงมา ทุกคนล้วนสร้างความประหลาดใจให้กับผม ซึ่งแต่ละคนทำได้ราบรื่นเหมือนมีประสบการณ์โรยตัวมาอย่างโชกโชน สำหรับคุณหญิงและพี่พจน์ ผมจะไม่ค่อยห่วงเท่าไร เพราะทั้งคู่เป็นนักปีนหน้าผาและเคยโรยตัวมาก่อนแล้ว  แต่ เพชร เชอรี่ และจะเด็ด ไม่เคยโรยตัวสูงขนาดนี้มาก่อน และอาจเป็นการโรยตัวครั้งแรกที่ต้องห้อยอยู่กลางอากาศกับความสูง 45 เมตร หลังจากฝึกใน โรงยิมในกรุงเทพฯเลยก็ว่าได้ ทำให้ผมโล่งใจและมั่นใจในทีมขึ้นมาอีกโขทีเดียว
หลังจากผมขึ้นไปเก็บเชือก ก็ปาเข้าไป 6 โมงเย็นแล้ว เป็นช่วงเวลาที่นกนางแอ่นที่อยู่บริเวณปากถ้ำจะต้องบินกลับเข้ารัง พร้อม ๆ กับค้างคาวที่อยู่ในถ้ำจำนวนมหาศาลก็บินออกหากิน นับเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หาชมได้ยาก นับว่าเป็นกำไรของทริปนี้เลยทีเดียว
เมื่อเรากลับมาถึงที่พักเก็บสัมภาระและอาบน้ำเรียบร้อยแล้วก็เป็นเวลาทานอาหารเย็น และพูดคุยกับจอห์น เพื่อรวบรวมข้อมูลของน้ำบ่อผีก่อนที่ทีมของเราจะเข้าสำรวจ
          ข้อมูล และคำแนะนำต่าง ๆ พรั่งพรูออกมาจากจอห์น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่เราคาดการณ์เอาไว้แล้ว พอได้คุยกับจอห์นทำให้พวกเรามั่นใจว่า พวกเราต้องลงไปสำรวจและกลับขึ้นมาด้านบนอย่างปลอดภัยอย่างแน่นอน ทุก ๆ อย่างถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้ว ไม่ว่าเส้นทางที่ลง สภาพอากาศ ช่วงเวลาที่ลง เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำของร่างกายซึ่งส่งผลให้เกิดอาการช็อคแบบ เคอร์รี่ การติดต่อสื่อสาร จะขาดก็เพียงทีมสนับสนุนด้านบนที่ไว้ใจได้และทีมช่วยเหลือหากมีปัญหาเกิดขึ้นทำให้เราไม่กลับมาตามเวลาที่วางแผนไว้ ซึ่งจอห์นก็แนะนำให้ไปติดต่อลูกหาบที่บ้านลุข้าวหลามขึ้นไปเฝ้าเชือก แต่ต้องจ้างไปหลายคนเพราะชาวมูเซอมีความเชื่อเรื่องผีอย่างเหนียวแน่น หากไป 1-2 คนจะไม่ยอมนอนเฝ้าเชือกให้เราแน่ๆ ต้อง 3 คน อย่างน้อยก็เป็นเพื่อนกัน (เหมือนสุภาษิตไทยที่ว่า หนึ่งคนหัวหาย สองคนเพื่อนตาย สามคนกลับบ้านได้กระมัง) 
หลังจากคุยกับจอห์นจนสมใจหลังจากที่ผมไม่ได้พบจอห์นมาหลายปี ผมรู้สึกว่า ที่นี่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย จอห์นก็ยังคงอารมณ์ดีและคุยสนุกสนานเหมือนเดิม Cave lodge ก็ยังคงเป็นสถานที่ที่ต้อนรับเพื่อน ๆ ที่หลงไหลการสำรวจถ้ำจากทั่วโลก เป็นที่แลกเปลี่ยนข้อมูลประสบการณ์ของถ้ำใหม่ ๆ ในเมืองไทยอย่างที่มันเป็นอยู่และยังคงเป็นอย่างนี้ต่อไป รอนักสำรวจถ้ำรุ่นใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาค้นหาการผจญภัยในสิ่งที่ตัวเองชอบ สิ่งที่เปลี่ยนไปดูเหมือนจะเป็นอายุของผมกับจอห์นที่มากขึ้น และประสบการณ์การสำรวจถ้ำของผมที่แตกต่างจาก 12 ปีที่แล้วหลังจากพบจอห์นครั้งแรก
          หลังจากนั้นผมก็ขอตัวเพื่อไปเตรียมอุปกรณ์และสัมภาระที่จำเป็นในการสำรวจน้ำบ่อผีในวันรุ่งขึ้น คืนนั้นพวกเรานอนกันอย่างอบอุ่นในเกสต์เฮ้าสต์ ท่ามกลางความหนาวเย็นของหุบเขาน้ำราง เพื่อเก็บแรงไว้ในวันต่อไป

ความฝันที่รอมา 12 ปี
28 ธันวาคม 2546
          วันนี้พวกเราตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า พร้อมกับขนสัมภาระที่ไม่จำเป็นขึ้นไปฝากไว้ในห้องเก็บของ สัมภาระที่พวกเราจะนำติดตัวไปจำกัดไว้แค่พอใช้งานเท่านั้น อาทิ เสื้อผ้าสำรอง 1 ชุด เสื้อกันหนาว ถุงนอน ผ้ายางและโฟมรองนอน ถุงน้ำ เต็นท์ อุปกรณ์โรยตัว-ไต่เชือกประจำตัว อุปกรณ์กู้ภัย ชุดปฐมพยาบาล เชือกโรยตัว และอาหารสำหรับใช้ช่วงที่อยู่แค้มป์อยู่ในป่า 2 วัน
          หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ ก็เป็นธรรมเนียมของนักสำรวจถ้ำ ที่จะต้องแจ้งให้คนที่เราไว้ใจที่สุดทราบก่อนออกเดินทางไปสำรวจถ้ำ ว่าเราจะเดินทางไปไหน จะกลับมาเมื่อใด หากเราไม่กลับตามที่แจ้งไว้ จะได้จัดชุดช่วยเหลือออกไปตามหาได้ ซึ่งจอห์นเป็นคนที่พวกเราไว้ไจ และเชื่อมือที่สุด
          กื๋อซ์ก็ยังบ่ต้องจ่ายค่าห้องก็ได้เล๊าะ รับรองเราจะนึกถึงคุณตลอดเวลา ถ้าจ่ายตังค์ แล้วเราอาจจะลืมก็ได้ หมู่นี้ความจำยิ่งบ่ดี จอห์นพูดอย่างติดตลก เมื่อเราบอกว่า วันที่ 30 ถ้าเรายังไม่กลับมาให้ออกไปตาม  หลังจากพูดคุยกันอีกพักใหญ่ ก็ได้เวลาเดินทางเพื่อไปแวะซื้อของอื่น ๆ เพิ่มเติม
          รถ FORD Ranger ที่พวกเราเรียกว่า ตู้กับข้าวเพราะเวลาเปิดประตูตรง cab เหมือนเปิดตู้กับข้าว พาพวกเรามาตามเส้นทางไปแม่ฮ่องสอนกว่า 15 ก.ม.ก็ถึงทางแยกบ้านลุข้ามหลามขับลงไปตามถนนปูนก็จะเข้าไปสุดที่หมู่บ้าน ที่แรกที่เราพุ่งตรงเข้าไปก็คือบ้านพ่อหลวง เพื่อติดต่อลูกหาบและคนนำทางที่จะพาพวกเราพร้อมสัมภาระและอุปกรณ์ทั้งหมดขึ้นไปยังน้ำบ่อผี
          พวกเราจัดแบ่งสัมภาระกันอยู่พักใหญ่ ก่อนออกเดินทางไปกับคนนำทางและลูกหาบกว่า 6 คน และชาวบ้านที่ตามขึ้นไปดูการสำรวจของพวกเราอีกกลุ่มใหญ่ ระหว่างทางข้อมูลต่าง ๆ ที่ชาวบ้านเล่าให้เราฟังมีแต่เรื่องราวของทีมสำรวจที่ได้เคยลงไป รวมไปถึงทีมญี่ปุ่นอีกราว 3  คนที่ลงไปสำรวจแล้วกลับขึ้นมาด้วยสภาพที่อ่อนเพลียจนดูผิดสังเกต ซึ่งพวกเราก็ฟังด้วยความสนใจ
          หลังจากเดินขึ้นเขามาได้ประมาณ เกือบชั่วโมง พวกเราก็มาถึงปากน้ำบ่อผี ซึ่งมีความใหญ่โตเกินกว่าจินตนาการของหลาย ๆ คนที่วาดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ต้นไม้ที่ขึ้นอย่างหนาทึบมองไม่เห็นพื้นถ้ำ เห็นเพียงลานดินที่อยู่ไกล ๆ ของโพรงถ้ำด้านทิศตะวันตก ซึ่งไม่สามารถคาดเดาถึงความใหญ่โตของโถงถ้ำที่มองเห็นได้
          ดูแล้วไม่ค่อยลึกนะ จะลึกถึง 70 เมตรหรือเปล่าก็ไม่รู้ ดูยอดไม้อยู่ใกล้ ๆ แค่นี้เอง ผมนึกในใจ เดี๋ยวเราเดินไปดูที่พักแรม และจุดที่เราจะลงกัน พวกเราเลือกหน้าผาทางทิศใต้ สำหรับมัดเชือกและโรยตัวลงไป ดูเหมือนจะเป็นจุดที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด
          พวกเรานั่งพักรับประทานอาหารกลางวัน และตั้งแค้มป์ สำหรับเก็บสัมภาระที่ไม่ได้ใช้งาน และจัดการมัดเชือกเข้ากับต้นไม้ ทั้งหมดสามเส้น  เพื่อใช้ในการโรยตัวลงไป โดยมีเชือกชุดที่ 4 เหลือไว้อีกชุดหนึ่งสำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉิน  ที่เหลือก็เหลือเพียงรอเวลาและตรวจเช็คความพร้อมของระบบเชือกและอุปกรณ์ทั้งหมด ก่อนที่จะโรยตัวลงไป
          เมื่อทุกอย่างพร้อม ผมเป็นคนแรกที่จะต้องโรยตัวลงไปช่วงกลางหน้าผา เพื่อนำปลายเชือกทั้งสามเส้นลงสู่ก้นถ้ำ และให้อีก 2 คนคือ เพชรและคุณหญิง โรยตัวตามลงไป  พวกเราซึ่งเป็นชุดแรกที่ใช้เวลากว่า 1  ชั่วโมงในการเคลีย์เส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นกิ่งไม้ และเถาวัลย์ ตั้งแต่ด้านบนไปจนถึงก้นถ้ำ เผื่อเวลาไต่เชือกกลับขึ้นไปจะได้รวดเร็ว และไม่เหนื่อยจนเกินไป
          กว่าที่ชุดแรกจะถึงก้นถ้ำก็เป็นช่วงที่แสงที่ก้นถ้ำเริ่มหมดลง ความมืดเริ่มมาเยือน ผมวิทยุให้ชุดที่ 2 เริ่มโรยตัวลงมาเริ่มจากพี่พจน์ เชอรี่ และจะเด็ด เมื่อทุกคนลงมาถึงก้นถ้ำก็เป็นเวลา เกือบ 6 โมงครึ่ง ซึ่งก้นถ้ำก็มืดสนิทพอดี
          ปัญหาที่เราต้องเผชิญก็คือจะต้องหาที่พักแรมเป็นอย่างแรก สภาพป่าด้านล่างรอบ ๆ ตัวมีต้นไม้ใหญ่ มีไม้พุ่มขึ้นอยู่ประปราย พื้นถ้ำที่พวกเรายืนอยู่มีแต่ก้อนหินลอยขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้าง การเดินท่ามกลางความมืดในพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นสองเท่า เข็มทิศถูกนำขึ้นมาเพื่อหาทิศทาง ทุกคนเปิดไฟฉายที่ศีรษะเพื่อส่องดูทาง ผมพาทีมสำรวจเดินตัดไปทางทิศเหนือซึ่งทางเดินไม่ค่อยชันและค่อนข้างเดินสะดวก อย่างแรกเราจะต้องเดินเข้าหาหน้าผาทางทิศเหนือ ซึ่งเมื่อมองจากตอนที่อยู่ด้านบนเป็นบริเวณที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่และสามารถเดินไปหาปากถ้ำทางทิศตะวันตกได้ง่ายกว่าเส้นทางอื่น ๆ
          พวกเราเดินด้วยความระมัดระวัง ก้าวต่อก้าว ก่อนจะก้าวเท้าออกไปจะต้องตรวจตราเป็นอย่างดีเพราะพื้นถ้ำมีเศษใบไม้แห้งที่ตกลงมาทับถมกันอยู่หนามาก ราวกับไม่เคยมีใครเคยย่างกรายมาแถวนี้เลย ซึ่งก็น่าก็จะเป็นอย่างนั้น เพื่อป้องกันงูที่อาจซุกซ่อนตัวอยู่ตามใบไม้แห้ง ท่อนไม้ที่เราข้ามไปหรือหลังก้อนหินที่เราเหยียบ ทุกคนเดินอย่างเงียบกริบ เพื่อฟังเสียงที่ผิดสังเกต ที่อาจหมายถึงอันตรายรอบ ๆ ตัว กว่า 15 นาทีกับระยะทางเพียง 30 เมตร พวกเราเริ่มมองเห็นแสงเรือง ๆ ที่เกิดจากมอสและไลเคนที่เกาะอยู่บนหน้าผาทำให้หน้าผาเรืองแสง ทำให้เรารู้ว่าเรากำลังเดินเข้าใกล้ที่หมายเข้าไปทุกที
          ในที่สุดเราก็มาถึงเพิงผา ที่มีแต่พวกว่านขึ้นเต็มลานกว้าง ใต้หน้าผาขนาดใหญ่ จากนี้เราจะตัดไปทางทิศตะวันตกและเดินเลาะหน้าผาขึ้นไปด้านบนโพรงถ้ำขนาดใหญ่ที่มองเห็นจากด้านบน ฝุ่นที่ทับถมกันอยู่บนพื้นถ้ำหนาเป็นนิ้วยิ่งเดินก็ยิ่งฟุ้ง พวกเราปีนหินถล่มขึ้นไปเรื่อย ๆ จนเจอลานดินที่พอจะนอนได้ อยู่กลางโถงถ้ำ ซึ่งรอบ ๆ ตัวมีแต่ลานดินกับก้อนหินที่ก้อนเล็ก ๆ ที่กระจายอยู่ทั่วไป จุดนี้เห็นจะเป็นจุดเดียวที่เหมาะสมสำหรับการตั้งแค้มป์ที่สุด ผ้ายางถูกปูลงบนพื้นเพื่อกันฝุ่น พวกเราเปลี่ยนเสื้อผ้าและจัดเตรียมอาหารเย็น เพชรและจะเด็ดเดินสำรวจบริเวณรอบ ๆ และหาฟืนมาเพื่อก่อไฟ เมื่อกองไฟติด พวกเราเริ่มมองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัว แสงจันทร์เริ่มส่องลงมากลางโถงถ้ำ ทำให้พอมองเห็นและแยกแยะสิ่งที่อยู่ด้านหน้าของเราพอสมควร ระดับที่เราอยู่สูงขึ้นมาจากก้นถ้ำในระดับเดียวกับยอดไม้ที่ขึ้นอยู่ในหลุมยุบ แหงนขึ้นไปด้านบนเป็นโพรงกลมขนาดใหญ่ มองเห็นดาวเต็มท้องฟ้า
บรรยากาศอย่างนี้น่าจะมีอยู่ที่เดียวในโลกกระมัง น่าเสียดายที่น้อยคนนักที่จะได้มาสัมผัส ผมคิดในใจ
เอ้าหิวจังเลย ได้เวลากินข้าวแล้ว พี่พจน์เป็นคนชักชวนให้ตั้งวงคนแรก
หลังจากที่พวกเราทานข้าวเหนียวหมูทอดอย่างอิ่มหนำสำราญก็ได้เวลานอน  พวกเราแต่ละคนเริ่มหาไออุ่นโดยซุกตัวลงในถุงนอน นอนดูดาว พูดคุยถึงเรื่องต่าง ๆที่เจอมาตลอดทั้งวัน ผมเริ่มได้ยินเสียงพูดค่อย ๆ เบาลง...เบาลง และเสียงทุก ๆ อย่างก็เงียบสนิท  พร้อม ๆ กับอากาศที่เริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ

ความลับที่ถูกเปิดเผย
29 ธันวาคม 2546
          เช้าตรู่ของวันที่ 3 ผมรู้ลึกตัวขึ้นจากอาการขยับตัวของคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ ค่อย ๆ โผล่หน้าออกมาจากถุงนอน  อากาศเช้านี้ไม่ค่อยหนาวอย่างที่คิด คงเพราะเราอยู่ในหลุมยุบที่อากาศค่อนข้างนิ่งและมีเพดานถ้ำคอยกันน้ำค้างในตอนกลางคืน บรรยากาศยังคงสลัว ๆ มองเห็นแสงแรกของรุ่งอรุณราง ๆ ที่เส้นขอบฟ้าด้านตะวันออก นับเป็นเช้าแรกที่ผมตั้งใจตื่นขึ้นมาดูพระอาทิตย์ในตอนเช้า แสงสว่างภายในน้ำบ่อผีค่อย ๆ สว่างขึ้นเรื่อย ๆ จนพอมองเห็นบรรยากาศภายในหลุมยุบทั้งหมด ขณะนี้พวกเรานอนอยู่บริเวณปากถ้ำที่รอบตัวมีแต่กองดิน หินและเศษใบไม้ที่ร่วงลงมาทับถมที่พื้นถ้ำ ตรงหน้าเป็นแนวยอดไม้ที่ขึ้นอยู่กลางหลุมยุบ บริเวณปากถ้ำด้านบนสายหมอกเริ่มไหลลงมาภายในหลุมยุบเนื่องจากอากาศเย็นที่ปากปล่องที่หนักกว่า จนในที่สุดก็ลงมากระจายตัวปิดปากถ้ำบริเวณยอดไม้ในหลุมยุบ  ผมเลยปลุกทุก ๆ คนที่นอนอยู่ให้ลุกขึ้นมาดูปรากฏการณ์ธรรมชาติอันน่าอัศจรรย์
          เหมือนอย่างที่จอห์นเคยพูดไว้ ในหน้าหนาวบรรยากาศในหลุมยุมตอนเช้าจะมีมฆในระดับต่ำและหมอกลงมาปกคลุมหลุมยุบทำให้แสงแดดแรกลงมาไม่ถึงก้นหลุม ซึ่งเป็นบรรยากาศที่สวยงามและน่าประทับใจ ถ้ามีโอกาสได้ลงไป จะต้องนอนด้านล่างและอยู่รอดูให้ได้ซึ่งพวกเราไม่คิดว่าสิ่งที่จอห์นพูดจะสวยงามสุดบรรยายจริง ๆ
          หลังจากที่พวกเราเฝ้าดูและซึมซับกับบรรยากาศที่พวกเราไม่เคยเห็น จนสายหมอกจางไปพอจะมีแสงแดดสาดส่องลงมาถึงยอดไม้ ก็ได้เวลาที่จะต้องออกเดินสำรวจก้นน้ำบ่อผี และค้นหาพรรณไม้แปลก ๆ ที่พวกเราหวังว่าจะได้พบ เพราะน้ำบ่อผีถูกตัดขาดจากการรบกวนทางธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นไฟป่า การตัดต้นไม้ ฯลฯ ซี่งน่าจะมีพรรณไม้พื้นถิ่น หรือพรรณไม้ดั้งเดิมที่เคยกระจายอยู่ในบริเวณนี้ และได้หายสาบสูญไปจากป่าด้านบน  และหากมีการสำรวจกันอย่างจริงจังทางวิชาการก็น่าจะสามารถอธิบายลักษณะดั้งเดิมของพื้นที่บริเวณนี้ในสมัยโบราณได้เป็นอย่างดี แต่น่าเสียดายที่ในทริปนี้พวกเราได้ติดต่อกับทางสวนพฤกษศาสตร์ฯ ให้ลงมาสำรวจกับพวกเราแต่ ทีมงานดังกล่าวติดภารกิจ แต่ครั้งนี้พวกเราจะพยายามเก็บภาพพรรณไม้ ดอกไม้ให้มากที่สุดเพื่ออย่างน้อยก็เป็นการสำรวจเบื้องต้น ให้ทีมผู้เชื่ยวชาญดู ก่อนจะมีการสำรวจกันอย่างจริงจังในอนาคต
          พวกเราเริ่มเดินสำรวจโพรงถ้ำทางด้านทิศตะวันตกเหนือหัวนอน ซึ่งเป็นโพรงถ้ำขนาดใหญ่และก็มีความสูงชันมาก พวกเราจะต้องปีนป่ายกองหินถล่มขึ้นไปเพื่อสำรวจ แต่ด้วยข้อจำกัดของอุปกรณ์และมีความเสี่ยงมากเกินไปจึงหยุดการสำรวจไว้เพียงเท่านี้ ก่อนที่จะกลับลงมาทานอาหารเช้า และเก็บสัมภาระเพื่อย้ายลงมาสำรวจพื้นที่ป่าด้านล่าง ที่อยู่ก้นหลุมยุบ
          หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จพวกเราค่อย ๆ นำสัมภาระประจำตัว เดินลงมา ผ่านหินงอกขนาดใหญ่ที่สูงถึง 15-20 เมตร มีเถาวัลย์ขึ้นปกคลุม หากมองจากด้านบนแคมป์ พวกเราคิดว่าขนาดของหินงอกแท่งนี้ก็เป็นขนาดทั่ว ๆ ไป แต่พอมีคนไปยืนข้าง ๆ ถึงรู้ว่าเป็นหินงอกก้อนมหึมากว่าที่คิดไว้ตั้งแต่ทีแรก ถัดลงมาอีกประมาณ 10 เมตรก็เป็นแนวป่า และเป็นจุดที่จะต้องลุยป่าลงไปสำรวจ
          เส้นทางที่เดินลงสู่ก้นหลุมเป็นเส้นทางที่ลัดเลาะตามซากต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ยืนต้นตายและล้มลงเนื่องจากอายุไข ซึ่งไม่สามารถคาดได้เลยว่ามีอายุเท่าไหร่ ต้นไม้ในก้นหลุมยุบทุกต้น สูงชะลูดแย่งกันขึ้นไปรับแสงแดด จากปากปล่องด้านบน ซึ่งมีช่วงเวลารับแสงแดดเพียงวันละ 6 ชม.เท่านั้น ด้วยการแก่งแย่งแสงแดดนี่เองจึงทำให้มีการปรับตัว  ให้มีความสูงถึง 40-50 เมตรและแผ่กิ่งก้านสาขาด้านบนเพื่อรับแสงให้ได้มากที่สุด ส่วนพืชที่อยู่ด้านล่างไม่สามารถแก่งแย่งได้ก็จะชะลอการเติบโต หรือล้มตายลงไป ทำให้พื้นป่าด้านล่างมีต้นไม้ขึ้นเบาบาง และเป็นเพียงไม้พุ่มเท่านั้น หากบริเวณใดที่ไม้ใหญ่ล้มลง พืชพื้นล่างก็จะเติบโตอย่างรวดเร็วเพื่อขึ้นไปรับแสง ทดแทนพืชที่ตายลงไป วัฎจักรของต้นไม้ในน้ำบ่อผี ดูเหมือนจะมีโครงสร้างที่เหมาะสมสำหรับการดำรงชีวิต และมีความสมดุลย์อยู่ในตัวมันเอง
          นอกจากนี้บริเวณด้านล่างสุดก็ยังพบป่าหวายขึ้นกระจายตัวอยู่เป็นบางจุดซึ่งจะเป็นบริเวณด้านใต้ของหลุมยุบ ซึ่งน่าจะเป็นเพราะด้านใต้เป็นด้านที่มีความชื้นสูงที่สุด เนื่องจากโดนหน้าผาด้านบนบังอยู่ตลอดเวลา
          พวกเราตระเวณถ่ายภาพของน้ำบ่อผีและพื้นที่ป่าด้านล่างในหลาย ๆ มุม ก่อนที่จะเดินไปที่เชือกจุดที่พวกเราลงมาเมื่อคืนนี้ กว่าจะหาเชือกเจอก็ใช้เวลาเดินหาซะตั้งนาน เนื่องจาก จุดที่ลงอยู่สูงขึ้นไปจากแนวป่าประมาณ 20 เมตรและป่าค่อนข้างรก ดีที่พวกเราแขวนเป้เชือกสีแดงไว้เป็นจุดนำทางม่ายยั้งงั้นต้องใช้เวลานานกว่านี้แน่
          กว่าจะจัดเข้าของและสัมภาระให้เข้าที่ก่อนไต่เชือกขึ้นไปต้องใช้เวลาหลายนาที เป้ทุกใบถูกแพค และมัดสัมภาระส่วนตัวของแต่ละคนรวมกัน ผมเป็นคนไต่เชือกขึ้นไปก่อน โดยมีเป้สัมภาระอีก 2 ใบพ่วงเข้าไว้ด้วยกัน ผูกต่อกับเชือกที่พ่วงเข้ากับ ฮาร์เนส ห้อยลงมาด้านล่าง กำลังทั้งหมดที่ใช้ไต่เชือกขึ้นมากจากกำลังขาเป็นหลัก
          เทคนิคการไต่เชือกที่พวกเราใช้เป็นเทคนิค Sit-Stand คือมีอุปกรณ์ไต่เชือก 2 ตัวคือ  Croll & Ascension ติดไว้ที่หน้าอกและมือ โดยมีเท้าขวาอยู่ที่ ห่วงเท้า การไต่ขึ้นก็เหมือนการ Situp นอกจากจะต้องออกแรงถีบตัวขึ้นตามเชือกโดยแบกน้ำหนักตัวไว้ ยังต้องพ่วงสัมภาระอีกคนละ 20-30 ก.ก.กว่าผมจะไต่เชือกขึ้นมาถึงแองเคอร์กลางหน้าผาซึ่งเป็นระยะทางประมาณ 50 เมตรก็ใช้เวลาประมาณ 15 นาที หลังจากนั้นจะต้องข้ามแองเคอร์มาใช้เชือกช่วงบนและสแตนต์บาย เพื่อดูแลความปลอดภัยของสมาชิกที่เหลือ เพราะจุดนี้เป็นจุดที่เชือกมีโอกาสถูหินมากที่สุด และเพื่อป้องกันเชือกขาดขณะที่ไต่ขึ้นมา
          เมื่อขึ้นมาถึงจุดพักผมก็วิทยุลงไปบอกให้ สมาชิกอีก 3 คนคือ เพชร พี่พจน์ และเชอร์รี่ไต่ตามขึ้นมา ผ่านไปร่วม 30 นาที ทั้งสามคนก็ไต่ขึ้นมาถึงและเปลี่ยนเชือกไปใช้เส้นบน และไต่ต่อขึ้นไป หลังจากนั้น  ผมก็ให้สัญญาณให้ สมาชิกอีก 2 คนที่เหลือไต่ตามขึ้นมา
          เวลาผ่านไปร่วมเกือบชั่วโมง ทั้งสองคนยังไม่ขึ้นมา ผมค่อนข้างกังวลใจกลัวจะมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับสมาชิกทั้งสอง ชั่วอึดใจผมก็ได้ยินเสียงตะโกนจากจะเด็ดที่อยู่ด้านล่าง ว่ามีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น ผมรีบเปลี่ยนอุปกรณ์เป็นอุปกรณ์โรยตัวทันที และรีบโรยตัวลงไปข้างล่าง
          เมื่อถึงด้านล่างผมได้รับแจ้งจากจะเด็ดว่าอุปกรณ์บางอย่างของคุณหญิงมีปัญหาบางอย่างทำให้ไม่สามารถไต่เชือกได้ ผมรีบตรวจเช็คอุปกรณ์ทันที หลังจากเช็คอุปกรณ์สักอึดใจ ก็พบว่ามีการใส่อุปกรณ์บางตัวผิด แทนที่ห่วงที่สวมเท้าจะพ่วงเข้ากับ Ascention กลับไปพ่วงไว้ที่ สายรัดสะโพกแทน  ส่งผลให้เมื่อเหยียบห่วงเท้าจะไม่สามารถยืดตัวได้ดังนั้นถึงจะถีบเท้าให้ตายก็ไต่เชือกไม่ไม่ขึ้น
          หลังจากแก้ไขข้อผิดพลาดเสร็จแล้วพวกเราก็ไต่เชือกขึ้นไปด้านบนทันที เวลาร่วมชั่วโมงจากด้านล่างหลุมยุบขึ้นมาถึงปากถ้ำด้านบน เวลาก็ล่วงเข้าไปเกือบ 6 โมงเย็น ทีมลูกหาบชาวมูเซอก็จัดเตรียมข้าวเย็นให้พวกเราเรียบร้อย พวกเรารับประทานอาหารเย็นกันอย่างเอร็ดอร่อย หลังจากนั้นก็จัดเตรียมแค้มป์กางเต้นท์ สำหรับค้างคืนที่ปากน้ำบ่อผีอีก 1 คืน
          กองไฟในยามค่ำคืน ช่วยขับไล่ความมืดที่อยู่รอบ ๆ แค้มป์ ออกไป พวกเรานำคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คที่ติดมาด้วย เปิดเครื่องและโหลดข้อมูลภาพถ่ายที่พวกเราได้บันทึกไว้ตั้งแต่เมื่อวานเพื่อเตรียมความพร้อมของ เมมโมรีการ์ดให้เพียงพอสำหรับการเก็บภาพในวันรุ่งขึ้น
          วันนี้ทุกคนดูสนุกสนานกันมากเพราะกลับขึ้นมาอย่างปลอดภัย แต่ในวันพรุ่งนี้มีความท้าทายครั้งใหญ่ที่รอพวกเราอยู่ข้างหน้า นั่นคือการโรยตัวลงทางด้านฝั่งตะวันตกของน้ำบ่อผีซึ่งมีความลึกกว่า 140 เมตร บริเวณนี้เป็นจุดที่ค่อนข้างยากและมีเพียงทีมเดียวที่ได้ลงคือทีมงานของ นิตยสาร National Geographic ซึ่งมีเพียง 3 คนในโลกเท่านั้น ถ้าในวันพรุ่งนี้พวกเราลงได้หมายความว่าพวกเราจะเป็น 1 ใน 9 คนในโลกเท่านั้นที่ได้ท้าทายกับเส้นทางโรยตัวลงถ้ำที่ยาวที่สุดในประเทศไทย

ความท้าทายที่รออยู่ตรงหน้า
30 ธันวาคม 2546
          เช้าตรู่ของวันที่ 3 ในการสำรวจถ้ำน้ำบ่อผี อากาศตอนเช้าบริเวณปากถ้ำค่อนข้างสงบนิ่ง มีหมอกหนาปกคลุมรอบ ๆ บริเวณแค้มป์ พวกเราค่อยๆ โผล่ออกมาจากเต้นท์พักแรม ขึ้นมาจัดเตรียมอุปกรณ์ และเซ็ทจุดถ่ายภาพและวีดีโอ ตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เพื่อให้ทันกับแสงแดดแรกของวันนี้
          พวกเราตั้งใจที่จะลงให้ทันกับแสงแดดแรก เพื่อได้มุมภาพและแสงที่ดีที่สุด หลังจากเซ็ทจุดถ่ายภาพเสร็จเป็นเวลาที่ทุก ๆ คนจะได้ทบทวนและสอบเทคนิคเชือกที่จำเป็นในการโรยตัวและไต่เชือก เพื่อตัดสินใจว่าจะมีใครที่ได้ลงช่วง 140 เมตรบ้าง
          การโรยตัวลงในจุดนี้มีความเสี่ยงสูงเพราะ ขณะที่โรยตัวลงหากลงต่อไปไม่ได้ จะต้องมีการเปลี่ยนอุปกรณ์จากชุดลง เป็นชุดขึ้นซึ่งจะต้องทำตอนที่ห้อยตัวอยู่กลางอากาศ ซึงจะผิดพลาดไม่ได้ นอกจากนี้จะต้องทำการติดอุปกรณ์เซฟตี้ไว้กับเชือกอีก 1 เส้น เพราะขณะที่ไต่เชือกขึ้น เชือกจะมีการยืดตัวและขัดสีกับขอบหินด้านบนทำให้ เชือกมีโอกาสขาดสูง ดังนั้นจะต้องมีเชือกเซฟตี้อีกเส้นไว้สำรอง ขณะที่ไต่ขึ้น
          การทดสอบและทบทวนเริ่มจาก ผมเป็นคนแรกที่ทำการสาธิตขั้นตอนให้ดูก่อน 1 รอบ หลังจากนั้น แต่ละคนจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนการเปลี่ยนอุปกรณ์ให้ถูกต้อง ซึ่งจะต้องไม่มีความผิดพลาด ไม่มีคำถาม ทุกคนจะต้องช่วยเหลือตัวเองให้ผ่านขั้นตอนนั้นไปให้ได้ ซึ่งทุกคนก็สามารถผ่านการทดสอบด้วยดี ก็เหลือแต่การลงจริง ๆ เท่านั้น ซึ่งผมรู้สึกถึงความกังวลที่ปรากฏบนสีหน้าของแต่ละคนได้
          หลังจากรับประทานอาหารเช้า คนนำทางและลูกหาบชาวมูเซอ แบกเชือกทั้งหมดที่เรามี เดินนำพวกเราไปยังจุดโรยตัวทางด้านตะวันตกของน้ำบ่อผี  พวกเราแบ่งชุดลงออกเป็น 2 ชุดคือ ชุดแรก มี ผม เชอร์รี่ และคุณหญิงจากเนเจอร์เอ็กซ์พลอเรอร์ ลงก่อน และจะตามด้วย เพชร จะเด็ดและพี่พจน์ ขณะที่ชุดแรกลง ชุดที่ 2 จะทำการถ่ายภาพและวีดีโอเทป หลังจากชุดที่ 1 กลับขึ้นมาก็จะสลับถ่ายภาพและวีดีโอให้ชุดที่ 2
          ผมเดินออกไปดูจุดมัดเชือกที่ต้นไม้ใหญ่ด้านบนของปากถ้ำ โดยลากปลายเชือกขึ้นมามัดกับต้นไม้ด้านบนเพื่อทำจุดแบคอัพ เผื่อจุดผูกเชือกจุดแรกหลุด พวกเราจะได้ไม่หล่นลงไปอยู่ด้านล่างของน้ำบ่อผีโดยไม่ได้ตั้งใจ
          ความรู้สึกขณะที่ผมเดินออกไปยืนอยู่บริเวณปากถ้ำแตกต่างจากวันแรกที่ลงน้ำบ่อผีโดยสิ้นเชิง ในวันแรกขณะที่ลงยังมีความกังวล ปนกับความระแวงและตื่นเต้นที่ได้ลง แต่ความรู้สึกในตอนนี้ ความกังวลใจดูเหมือนจะหายไป มีแต่ความสงบและความมั่นใจ ไม่มีความตื่นเต้นปรากฏให้เห็นอีกเลย คงเพราะวันก่อนที่ลงไปก้นน้ำบ่อผี ผมเห็นจุดลงจากมุมด้านล่างและเห็นก้นหลุมน้ำบ่อผีและพื้นที่ในป่าด้านล่างทั้งหมด ทำให้กำจัดความระแวงไปจนหมด
          เอาละเรามัดเชือกเสร็จแล้ว เดี๋ยวผมจะโยนเชือกของผมลงไปก่อน และให้คุณหญิงใช้เชือกเส้นที่ 2 ตามลงไป และเชอร์รี่จะลงตามไปเป็นคนสุดท้ายใช้เส้นสีฟ้า ผมบอกสมาชิกสาวสวยทั้งสองคน
          จำเอาไว้นะครับว่าเวลาลงให้ค่อย ๆ ลง อย่าทิ้งระยะห่างจากผมมากนัก เผื่อมีปัญหาผมจะได้ช่วยได้ทันท่วงที ผมกำชับเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนโรยตัวนำลงไปช้า ๆ
          ผมโรยตัวลงไปจากต้นไม้ใหญ่ ประมาณ 10 เมตรลงไปถึงจุดปากถ้ำซึ่งเป็นจุดที่เชือกเริ่มห้อยอยู่กลางอากาศ รอสมาชิกทั้งสองคนที่ค่อย ๆ โรยตัวตามลงมา
          จุดนี้ระวังนะครับค่อย ๆ ผ่านเพราะเป็นช่วงที่เชือกจะต้องพาดกับก้อนหิน ก่อนห้อยลงกลางอากาศ  ผมจะลงไปห้อยรออยู่ด้านล่าง ผมตะโกนบอก
          หลังจากเท้าหลุดออกจากพื้นดิน ผมห้อยตัวอยู่กับเชือก ด้านหน้าเป็นหินย้อยที่อยู่บนเพดานถ้ำที่มีขนาดใหญ่เกินจินตนาการ ผมค่อย ๆ โรยตัวนำลงไป 1 เมตร.....2 เมตร.....5 เมตร.........ลึกลงไปเรื่อยๆ ก้มมองดูข้างล่าง มองเห็นยอดไม้ขึ้นหนาแน่นอยู่ที่ก้นหลุมยุบ ต้นไม้ดูเหมือนจะเล็กไปถนัดตา
          รอบ ๆ ตัวมีแต่อากาศและความเวิ้งว้าง ยิ่งโรยตัวลึกลงไปเท่าไหร่ ดูเหมือนตัวเราจะยิ่งเล็กลงเรื่อยๆ  โถงถ้ำด้านล่างยิ่งกว้างออกไปเรื่อย ๆ  จนดูเหมือนผมจะโรยตัวอยู่กลางโถงถ้ำที่ใหญ่โต มโหฬาร ถ้ามีคนยืนอยู่ด้านล่างคงมองเห็นตัวเท่ามดแน่ ๆ ผมนึกในใจพร้อมกับแหงนหน้าขึ้นไปมองดูสมาชิกสาวสวยทั้งสองคน
          ลงมาเรื่อย ๆ เลยครับไม่ต้องกลัว ตรงที่ผมอยู่สุดยอดจริง ๆผมตะโกนบอกพร้อมกับคว้ากล้องถ่ายภาพและกล้องวีดีโอที่สะพายอยู่ด้านข้างออกมาเก็บภาพมุมต่าง ๆ รอบตัว
          ผมโรยตัวลงไปเรื่อย ๆ จนถึงตำแหน่งที่จะต้องหยุดให้ชุดที่ 2 ถ่ายภาพ พวกเราห้อยตัวอยู่กลางเชือกอีกประมาณ 1 ชั่วโมง จนรู้สึกว่าความรู้สึกที่ขาเริ่มหายไป เหน็บชาเริ่มมาเยี่ยมเยือนจนจนต้องขยับขาเพื่อเรียกความรู้สึกกลับคืนมา
          จุดที่ผมโรยตัวลงมายังไม่ถึง 60 เมตรยังเหลืออีกเกือบ 100 เมตร หากจะลงจะต้องลงไปต้องต่อเชือกอีกประมาณ 50 เมตร เพราะเชือกที่ผมลงมีระยะทางแค่ 90 เมตรซึ่งลงยังไม่ถึงยอดไม้ด้านล่าง ทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่า ระยะทางที่กำลังลงน่าจะมากกว่า 140 เมตรซึ่งเชือกที่เตรียมมาอาจจะไม่พอ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจตะโกนบอกให้ลูกทีมทั้งสองคนหยุด และเปลี่ยนอุปกรณ์ไต่เชือกกลับขึ้นไป
          คุณหญิง เชอร์รี่ เปลี่ยนอุปกรณ์ไต่เชือกซะ เราจะต้องไต่เชือกกลับขึ้นไป เชือกไม่น่าถึงก้นถ้ำ เราต้องเปลี่ยนแผนแล้ว ผมตะโกนบอก
          ผมไต่เชือกกลับขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับคุณหญิง มีเชือกของคุณหญิงที่มีความยาว 150 เมตรเส้นเดียวเท่านั้นที่อาจจะลงไปได้ วันนี้เราคงลงไปไม่ถึงด้านล่างแน่ ๆ  ปลดถุงเชือกออกจากตัวซะ เดี๋ยวผมจะมัดเข้ากับปลายเชือกให้
          เราต้องเปลี่ยนแผนเพื่อให้เวลาชุดที่ 2 ลงมาเป็นแบบถ่ายภาพก่อนดีกว่า ไม่ยังงั้นวันนี้ค่ำแน่นอน และเราต้องกลับไปที่ Cavelodge ก่อน 6 โมงเย็นวันนี้ไม่งั้น จอห์นจะต้องออกมาตามหาเรา ผมบอกกับทั้ง 2 คน
          หลังจากทั้งสองคนเปลี่ยนอุปกรณ์และติดเซฟตี้เสร็จ ผมเป็นคนไต่เชือกนำขึ้นไปก่อนและไปรออยู่บริเวณปากถ้ำจุดที่เชือกพาดกับก้อนหินด้านบน เพื่อดูแลความปลอดภัยให้กับทั้งคู่ก่อนไต่กลับขึ้นมา ข้างบนพร้อมครับขึ้นมาได้ ผมตะโกนบอก
          เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงกว่าที่ทั้งคู่จะไต่กลับขึ้นมาถึงปลายเชือกด้านบนและอยู่ในจุดที่ปลอดภัย ทั้งพี่พจน์ เพชร และจะเด็ดมารอกันอยู่ที่ปลายเชือกด้านบนแล้ว และพร้อมจะโรยตัวลงไป
          ปลายเชือกไม่ถึงข้างล่างนะพี่ วันนี้เราคงต้องลงไปเซ็ทถ่ายภาพอย่างเดียว  เวลาไต่เชือกกลับขึ้นมาต้องค่อย ๆ ระวัง เดี๋ยวผมจะไปคอยถ่ายภาพอยู่ฟากโน้น ถ้ามีปัญหาเรียกผมได้นะพี่ ผมจะคอยดูอยู่ ผมบอกพี่พจน์ครั้งสุดท้ายก่อน พาคุณหญิงและเชอร์รี่กลับไปที่แค้มป์เตรียมถ่ายภาพ
          ผมยืนดู พี่พจน์ เพชร และจะเด็ดค่อย ๆ โรยตัวลงไปยังตำแหน่งที่นัดหมาย ซึ่งดูราบรื่น และไม่มีปัญหาอะไร เมื่อถ่ายภาพเสร็จ ก็วิทยุบอกให้ทั้งสามคนไต่ขึ้นมา และเก็บเชือกทั้งหมดขึ้นมา ขณะนี้เวลาก็เกือบจะ 3 โมงเย็น พวกเรามีเวลาเก็บสัมภาระและแค้มป์ ก่อนเดินทางกลับไปพบจอห์นก่อน 6 โมงเย็นตามเวลาที่นัดหมายกับจอห์น
          เป็นเรื่องปรกติในการสำรวจถ้ำ ที่จะต้องเคร่งครัดต่อเวลา ถึงแม้ว่าภาระกิจบางส่วนจะไม่สำเร็จก็ตาม
พวกเราจำเป็นต้องทำตามเวลาที่นัดหมาย แม้ว่าจะต้องเลิกล้มภาระกิจบางส่วน มิฉะนั้นทีมที่เราแจ้งไว้จะต้องออกตามหาพวกเราทันที พวกเรายังมีโอกาสที่จะกลับมาอีกครั้งอย่างแน่นอน แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเราก็ได้ลงไปถึงก้นหลุมยุบไขความลับของน้ำบ่อผีได้บางส่วน  แม้ว่าพวกเราจะลงที่ความยาว 140 เมตรไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยเราก็รู้ว่าครั้งต่อไปพวกเราจะต้องเตรียมเชือกที่มีความยาวถึง 200 เมตรเพื่อพิชิตปล่องถ้ำที่ลึกที่สุดในประเทศไทย
          ทีมสำรวจทุก ๆ คนเก็บสัมภาระและออกเดินทางจากน้ำบ่อผี พร้อม ๆ กับความตั้งใจที่จะกลับมาลงสำรวจในครั้งหน้า พวกเราหวังว่าคราวหน้าเราน่าจะพิชิตความลึกของปล่องถ้ำทางทิศตะวันตกให้ได้ พวกเราจะกลับมาอีกพร้อมกับทีมสำรวจพรรณไม้เพื่อไขความลึกลับของปริศนาของพรรณไม้ในน้ำบ่อผีให้ได้ทั้งหมด
น้ำบ่อผียังคงเก็บงำความลับไว้บางส่วนด้วยกำแพงผาเป็นปราการทางธรรมชาติ ที่ยากแก่การเข้าถึง  มันยังเฝ้าคอยทีมสำรวจที่จะมาไขปริศนาของระบบนิเวศอันซับซ้อน ที่ก่อให้เกิดรูปแบบของระบบธรรมชาติเฉพาะตัว ที่รอให้เรามาค้นหาต่อไป

บทส่งท้าย
คืนที่ 30 ธันวาคม 2546
          คืนนี้พวกเราฉลองความสำเร็จของการพิชิตน้ำบ่อผี ซึ่งจอห์นก็มาร่วมรับรู้ความสำเร็จของพวกเราด้วย พร้อมกับคำเชื้อเชิญร่วมงานปาร์ตี้ปีใหม่ในวันรุ่งขึ้น แต่สมาชิกแต่ละคนจำเป็นต้องปฏิเสธอย่างเสียดายเพราะภาระกิจในกรุงเทพฯของแต่ละคน พวกเรารับปากว่าคราวหน้าหากมีปาร์ตี้อีกพวกเราจะไม่พลาดอีกแน่ พร้อม ๆ กับจอห์นก็รับปากกับพวกเราว่าหากพวกเรามาสำรวจครั้งหน้า เขาจะไม่พลาดการร่วมคณะสำรวจกับพวกเราแน่นอน
          คืนนี้พวกเราตรวจเช็ค และเก็บอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพในวันรุ่งขึ้น อีกหลายวัน อาจจะเป็นเดือนกว่าแต่ละคนจะได้มาร่วมทีมกันอีกครั้ง แต่พวกเราแน่ใจว่ามีซักวันนึงที่พวกเราได้กลับมาร่วมผจญภัยอีกแน่นอน............โชคดีทุกคน
         
ลองมาดูหน้าตาของเหล่าสมาชิกคณะทีมสำรวจทั้ง 6 คนที่เป็นทีมไทยทีมแรกในการลงสำรวจน้ำบ่อผี

ADVENTURER
          อนุกูล สอนเอก (กื๋อซ์ นรก)หัวหน้าทีมสำรวจ อดีตผู้ก่อตั้งเวป ไฮเปอร์เวนเจอร์ ปัจจุบันเป็นผู้ชำนาญการเกี่ยวกับการสำรวจถ้ำ (ประสบการณ์การสำรวจถ้ำ 19 ปี ) และผจญภัย นอกจากนี้ยังเป็นช่างภาพและนักเขียนอิสระให้กับนิตยสารหลายเล่ม เป็นครูฝึกการทำงานในระบบเชือกของ Rope Technique Center (RTC) และครูฝึกทีมกู้ภัยพิเศษ จ.นครราชสีมา และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผจญภัย ของกรมการท่องเที่ยว กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา
          กนกเพชร ทองสุข (เพชร ไฮเปอร์) ช่างภาพ ผู้ก่อตั้งเวปไฮเปอร์เวนเจอร์ ปัจจุบันทำงานเป็น Web designer & Webmaster Hyperventure
          ปิยะฤทัย ปิโยพีระพงษ์ (หญิง) หัวหน้ากองบรรณาธิการ นิตยสารเนเจอร์เอ็กซ์พลอเรอร์ เป็นผู้หญิงคนเดียวที่ถูกตากื๋อซ์ หลอกชวนไปเสี่ยงตายที่ไหนก็ไม่เคยปฏิเสธ ปัจจุบัน เป็นกองบรรณาธิการหนังสือ อสท.
          พัชราภรณ์ บุญทรง (เชอร์รี่) ปัจจุบันดำเนินธุรกิจส่วนตัว ด้วยใจที่รักการผจญภัยขนาดว่ายน้ำข้ามทะเลมาจากภาคใต้ เพื่อมาผจญกรรม ผจญเวรกับพวกเรา ที่แม่ฮ่องสอน
          พี่พจน์ หนุ่มใหญ่อารมณ์ดี ที่มักโดนหลอกให้ไปผจญภัยอยู่เป็นประจำ ปัจจุบันเป็นเจ้าของกิจการส่วนตัว
          นัทวุธ  ช้อยเครือ(จะเด็ด) อดีตผู้ก่อนตั้งเวป ไฮเปอร์เวนเจอร์ ปัจจุบันทำงาน Web Programmer อยู่ที่บริษัทเวปชั้นนำแห่งหนึ่ง

ขอบคุณ
เหล่าคณาจารย์ ภาควิชาภูมิศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ประสิทธิประสาทวิชาภูมิศาสตร์ B.S.(Geography) และให้โอกาสในการเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานภาคสนามทางภูมิศาสตร์อันเป็นพื้นฐานของการเป็นนักผจญภัยและนักสำรวจของผมในปัจจุบัน
John Spies คนที่แนะนำให้ผมรู้จักกับการสำรวจถ้ำและเป็นแรงบันดาลใจในการสำรวจถ้ำของผมตลอด 19 ปีที่ผ่านมา เข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ www.Cavelodge.com
Dean Smart เพื่อนรักที่ร่วมการสำรวจถ้ำด้วยกันทั่วประเทศมากว่า 5 ปี เป็นคนที่แนะนำเทคนิค ข้อมูลและความรู้เชิงวิชาการด้านถ้ำวิทยากับผม
ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านถ้ำจากประเทศต่าง ๆ และเพื่อน ๆ นักสำรวจถ้ำจากทั่วโลกที่มาอบรม แลกเปลี่ยนประสบการณ์ แนะนำเทคนิคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคด้านเชือก การสำรวจทำแผนที่ ฯลฯ ตลอด 19 ปีที่ผ่านมา
พี่วาสิต สิโรดม สำหรับคำแนะนำดี ๆ โอกาส และความไว้วางใจที่ให้กับทางทีมงานมาตลอด
เพื่อน ๆ ผู้อ่านทุกคนที่คอยติดตามผลงาน และถามถึงตอนต่อไปของน้ำบ่อผีตลอดเวลารวมไปถึงผู้มีส่วนร่วมทุกคนที่ไม่ได้เอ่ยนาม และติดตามสกู๊ปการเดินทางสำรวจ ผจญภัยของพวกเราได้ในโอกาสต่อไป.......ขอบคุณครับ

6 ความคิดเห็น:

  1. สวัสดีทีมงานทุกคนที่เคยพาผมไปสัมผัสกับปประสบการณ์ที่มิอาจลืม ขอบคุณครับ

    ตอบลบ
  2. สุดยอดค่ะ เพิ่งมาอ่านวันนี้ค่ะ

    ตอบลบ
  3. Thaitanium Games - Thaitanium Games
    Thaitanium Games is one of 토토 사이트 the most popular online game series based on the titanium uses original Thasshenstone. medical grade titanium earrings It has snow peak titanium spork a strong titanium exhaust emphasis on adventure

    ตอบลบ

ทุกความคิดเห็นของท่านจะถูกนำไปใช้ในการปรับปรุง web ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น