Explorer one Team

บริษัท เอ็กซ์พลอเรอร์วัน จำกัด ก่อตั้งโดย อนุกูล สอนเอก นักสำรวจวิจัยทางภูมิศาสตร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมปีนเขาเอเวอร์เรสต์ปี 2007 ตั้งขึ้นมาจากประสบการณ์ทำงานและประสบการณ์ผจญภัยที่หลากหลาย พวกเราพร้อมนำท่านเข้าสู่โลกผจญภัย กิจกรรมกลางแจ้งและการสำรวจทางธรรมชาติวิทยา Explorer One Team คือแหล่งรวมผู้เชี่ยวชาญด้านสำรวจถ้ำ ปีนหน้าผา การพายคยัคล่องแก่ง การใช้ชีวิตในป่ารวมไปถึงการสำรวจทางภูมิศาสตร์ การใช้แผนที่และเ็ข็มทิศ อีกทั้งยังดำเนินงานให้การอบรมในศูนย์ฝึกทักษะการผจญภัยแขนงต่าง ๆ รวมไปถึงการกู้ภัยพิเศษประเภทต่าง ๆอาทิการกู้ภัยทางน้ำ หน้าผาสูง ในถ้ำ หรือแม้แต่การร่วมปฏิบัติงานกู้ภัยในป่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงความชำนาญกว่า 18 ปีบนเส้นทางสายนี้

28/5/54

SMCC Expedition 2009-2010

ถ้ำนิรนาม เปรียบดั่ง เอเวอร์เรสต์ของถ้ำในเมืองไทย จากการสำรวจหลังเดือนเมษายน 2011 ทีมสำรวจได้พบเส้นทางเชื่อมต่อ บนเส้นเชือก โดยลึกลงไปอีกราว 120 เมตร จากการสำรวจเมื่อสองปีที่แล้ว ภายหลังจากการสำรวจ เมื่อสองปีที่แล้ว หลังจากการสำรวจครั้งแรกโดยทีมจากประเทศอังกฤษ เข้าทำการสำรวจเมื่อปี 2009&2010 ขณะนี้ถ้ำแห่งนี้ กลายเป็นถ้ำที่ลึกที่สุดในเมืองไทย มีความลึกแนวดิ่งกว่า 500 เมตร เมื่อสองปีที่ผ่านมา เราได้พบถ้ำที่ลึกที่สุดในประเทศไทย อยู่บริเวณชายแดน ถ้ำมีความยาวราว 2,000 เมตรภายซึ่งต้องใช้เทคนิคเชือกในการสำรวจถ้ำเพื่อโรยตัวลงไปในเหวลึกเป็นร้อยเมตรด้านใน พวกเราหวังว่าในเวลาอันใกล้นี้พวกเราคงได้มีโอกาสได้เข้าไปสำรวจและบันทึกสารคดีออกมาให้เพื่อน ๆ ได้ชมกันครับ 














Photo from Caving Club ,England

14/5/54

นักสำรวจถ้ำ 2

ประสบการณ์ : ความรู้ที่ไม่มีในตำรา

 สำหรับนักสำรวจถ้ำพวกเราทุกคนรู้ว่าอันตรายนั้นอยู่รอบตัว  สิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือ  อากาศที่มีเปอร์เซ็นคาร์บอนไดออกไซด์สูงที่เกิดจาก  เศษซากใบไม้กิ่งไม้เน่าเปื่อยและผสมกับโคลนที่ถูกกระแสน้ำพัดพาเข้าไปหรือมูลค้างคาวที่ทับถมกันอยู่ส่งกลิ่นฉุนแต่กลับส่งผลดีต่อถ้ำเนื่องจากมันคือจุดริ่มต้นของห่วงโซ่อาหารภายในถ้ำ  แบคทีเรียเริ่มย่อยสลายและให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา เมื่อมันสะสมตัวมาก ๆ เข้าประกอบกับอากาศภายในถ้ำมีการถ่ายเทและเปลี่ยนแปลงน้อย  ตามปรกติในบรรยากาศปรกติเราจะพบว่าระดับเปอร์เซ็นของคาร์บอนไดออกไซด์มีอยู่ประมาณ 0.003 % แต่เมื่ออยู่ในถ้ำเราจะพบในระดับปรกติและในระดับที่มากกว่าปรกติ เนื่องจากผลผลิตของการย่อยสลายของซากพืชซากสัตว์ และจากกระบวนการตกตะกอนอีกครั้งของแคลเซียมคาร์บอเนต  ระดับอันตรายของคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นอันตรายต่อคนจะอยู่ที่ประมาณ  5.5% อาการหายใจติดขัดสมองจะมึนงงและหมดสติหลังจากนั้นจะเสียชีวิตภายในไม่กี่นาที    การตรวจสอบอากาศที่ปลอดภัยที่สุด  เราจะใช้อุปกรณ์อิเลคทรอนิคสำหรับบอกระดับคาร์บอนไดออกไซด์มันจะส่งเสียงเตือนเมื่อถึงระดับอันตรายแต่อุปกรณ์ชิ้นนี้ราคาแพงมาก การตรวจสอบอีกอย่างก็คือการใช้อาการผิดปรกติของร่างกายเป็นตัววัด แต่คุณจะต้องเคยมีประสบการณ์จึงสามารถบอกได้  บางครั้งการหายใจติดขัดก็ไม่ได้เกิดขึ้นจากอากาศที่มีคาร์บอนไดออกไซด์สูงอย่างเดียว แต่ยังมาจากออกซิเจนน้อยด้วย
การคาดเดาถ้ำที่มีอันตรายจากอากาศเสียบางครั้งสามารถคาดเดาได้  แต่ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในถ้ำมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจากความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างภายในกับภายนอกถ้ำเมื่อใดที่ถ้ำมีทางเข้าออกทางเดียว อุณหภูมิภายในเย็นกว่าภายนอก  อากาศในถ้ำจะไหลออกมาบริเวณปากถ้ำและจะนำเอาคาร์บอนไดออกไซด์มาด้วย  ในทางกลับกันหากอากาศภายนอกเย็นกว่าอากาศจะไหลย้อนกลับเข้าไปข้างในหอบเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปด้วยจนอยู่ในระดับสมดุลย์  นอกจากนี้มวลโมเลกุลของคาร์บอนไดออกไซด์หนักกว่าออกซิเจน  ดังนั้นภายในถ้ำชั้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะทิ้งตัวด้านล่างของออกซิเจน  ยิ่งลึกเข้าไประดับชั้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ   ในถ้ำใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีการสำรวจมากก่อนหากถ้ำที่ไม่มีการไหลเวียนของอากาศแต่มีชั้นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่บนพื้นถ้ำเราจะพบว่าการเดินเข้าไปจะไม่มีปัญหาเรื่องอากาศ  แต่เมื่อเดินกลับออกมาจะพบปัญหาอากาศไม่พอหายใจ  เนื่องจากการเดินเข้าไปรบกวนสมดุลย์ของชั้นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกิดการฟุ้งกระจายขึ้นมา
นักสำรวจถ้ำทุกคนจะเรียนรู้ถึงวิธีการสังเกตุการไหลเวียนของอากาศและวิธีการในการตรวจสอบอากาศ  และพร้อมที่จะกลับออกมาเมื่อถึงเกิดปัญหาหรือถึงขีดจำกัดของทีม   ดีนอธิบายเสร็จทุกคนดูนั่งนิ่งได้แต่มองหน้ากันอาการเหมือนช๊อคกับเรื่องที่เพิ่งได้ฟังไป
เหมือนถ้ำที่เราเพิ่งไปสำรวจในวันนี้ไง  แต่พวกเราโชคดีที่ระดับอากาศยังไม่อันตรายเท่าไหร่ ไม่มีปัญหา  แต่ไม่ต้องห่วงหรอก  เพราะเราพบได้ไม่บ่อยนักดีนพูดปลอบใจ
ความเย็นในถ้ำถือว่าเป็นอันตรายรองลงมา ตามปรกติน้ำในถ้ำจะมีความเย็นมากกว่าน้ำที่อยู่ภายนอกถ้ำ  พวกเราเคยเข้าสำรวจถ้ำน้ำที่  อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติลำคลองงู  จังหวัดกาญจนบุรีในช่วงฤดูร้อนช่วงเดือนเมษายนซึ่งเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดของปี เป็นถ้ำที่มีน้ำตลอดและน้ำไหลแรงมากพวกเราต้องว่ายทวนน้ำเข้าไปในถ้ำ  จุดพักของพวกเราคือการเอามือเกาะผนังถ้ำและลอยคอในน้ำเท่านั้นเราแช่น้ำอยู่ในถ้ำประมาณ  5  ชั่วโมงกว่าจะทำการสำรวจเสร็จสิ้น ช่วงนั้นน้ำในลำห้วยภายในถ้ำมีอุณหภูมิอยู่ประมาณ  16-18  องศาเซลเซียสบางช่วงมีลมแรงมาก  การแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานานทำให้เสี่ยงต่ออาการไฮโปเทอร์เมีย(Hypothermia) หรือ  อาการของคนที่อุณหภูมิในร่างกายต่ำเกินไปคือ  ตัวสั่น  เดินช้า  ปล่อยของหลุดจากมือกล้ามเนื้อไม่ค่อยเคลื่อนไหว  พูดไม่สะดวก มองเห็นไม่ชัดเจน  จิตใจเริ่มไม่อยู่กับร่องกับรอย  ถ้ำอุณหภูมิในร่างกายลดลง 5-6  องศาจะทำให้หมดสติและเสียชีวิตได้  ดังนั้นการเตรียมชุดเสื้อผ้าและอุปกรณ์จึงมีความจำเป็นต้องเป็นชุดที่สามารถรักษาอุณหภูมิของร่างกายได้ในระดับหนึ่งผมพูดเสริมขึ้นมาบ้าง
          ในการสำรวจครั้งนั้นมีประสบการณ์อย่างหนึ่งที่ลืมไม่ลงจริง ๆ  การเข้าสำรวจถ้ำเสาหินในลำคลองงูเมื่อ  2  ปีที่แล้วหลังจากที่เราว่ายน้ำและเดินเลาะลำห้วยเข้าไปเกือบถึงเสาหินใหญ่ ทันใดนั้นเราก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังจากด้านบนสักอึดใจน้ำในลำห้วยแตกกระจาย ละอองน้ำกระเซ็นใส่พวกเราพร้อม ๆ กับเสียงเหมือนหินร่วงกราวใหญ่ ก้อนหินขนาดครึ่งเมตรหล่นจากเพดานถ้ำลงไปในลำห้วยห่างจากพวกเราไปประมาณ 1.5 เมตร  พวกเราได้แต่นิ่งเพราะช็อคกันสถาณะการณ์ในขณะนั้นและหันมามองหน้ากันแต่ก็โชคดีที่คณะสำรวจไม่ได้เป็นอะไรกันมาก
ใช่มันเป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงเลยจริง ๆ ใครพบเหตุการณ์นี้นับว่าโชคดีมาก เพราะมันจะเกิดขึ้นไม่บ่อย  อาจเป็นหนึ่งต่อพันหรือหนึ่งต่อหมื่นเลยก็ว่าได้  แต่ขออย่างเดียวอย่าหล่นใส่กลางวงเป็นใช้ได้ดีนเห็นด้วยและพูดอย่างติดตลก
แล้วอันตรายอย่างอื่นล่ะครับมีอีกไหมครับอ๊อดถามอย่างสนใจ
มีสิเดียวผมกับดีนจะค่อย ๆ เล่าให้ฟังพูดจบผมก็หันไปถามดีน
คุณจำตอนที่เราเข้าสำรวจถ้ำที่สระบุรีเมื่อ  9  เดือนที่แล้วได้ไหม  ดีนนึกอยู่สักครู่ก็พูดออกมา
พวกเรารู้จักถ้ำที่มีลำห้วยอยู่ข้างในไหม  ถ้ำหลาย ๆ แห่งในไทยมีลำห้วยอยู่ข้างในและไหลลอดถ้ำบางถ้ำมีน้ำตลอดปีแต่บางถ้ำมีน้ำในฤดูฝนเท่านั้นเราเรียกถ้ำเหล่านี้ว่า  ถ้ำน้ำ(Stream Cave)”  ถ้ำเหล่านี้จะปิดตัวเองโดยอัตโนมัติในฤดูฝน การเข้าไปสำรวจจะต้องสังเกตตามผนังถ้ำว่ามีโคลนหรือเศษไม้อยู่หรือไม่  เหล่านักสำรวจถ้ำจะรู้ดีและหลีกเลี่ยงการสำรวจถ้ำน้ำในฤดูน้ำหลาก  บางถ้ำที่มีขนาดลุ่มน้ำใหญ่เวลาน้ำป่าไหลบ่ามาจะมีพลังมหาศาลสามารถพัดท่อนซุงขนาดใหญ่ให้ไปติดอยู่บนเพดานถ้ำได้เลยทีเดียว  เหมือนถ้ำนกนางแอ่นอุทยานแห่งชาติลำคลองงู ในจังหวัดกาญจนบุรี  พวกเราเคยทำเครื่องหมายเพื่อดูระดับน้ำคร่าว ๆ ที่ท่วมในถ้ำในช่วงปีถัดไปเราพบว่าน้ำในถ้ำมีระดับสูงมาก   พวกเราคิดว่าในคาร์สตวินโดว์ที่  4 (Karst Window) จะต้องกลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่โดยทันที
ประสบการณ์ที่พวกเราเคยพบคือการเข้าสำรวจถ้ำลุมพินีสวนหินจังหวัดสระบุรี    ดีนพบความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในลำห้วยภายในถ้ำ  น้ำกลายเป็นสีน้ำตาลเข้มขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับมีเศษกิ่งไม้ไหลมากับน้ำทำให้เราคาดเดาได้ว่าน่าจะมีฝนตกภายนอกถ้ำ  จุดที่พวกเราอยู่ในขณะนั้นเป็นช่องทางที่แคบ ๆ ประมาณเมตรครึ่งและมีความสูงเพียงหนึ่งเมตร  ที่สำคัญที่สุดตามผนังและเพดานถ้ำมีเศษไม้และโคลนติดอยู่  ทำให้พวกเรารู้ดีว่า  ระดับน้ำสูงสุดของจุดนี้คือมิดเพดานถ้ำซึ่งอันตรายมาก  ดีนเตือนพวกเราให้ระวังตัว
จากจุดที่เราอยู่ห่างจากปากถ้ำเกือบ  1  กิโลเมตร  และมีหลายจุดที่ไม่สามารถเดินเท้าได้  จะต้องปีนขึ้นไปตามก้อนหินซึ่งถ้าออกจากถ้ำคงจะไม่ทันแน่นอน  สัญชาตญาณบอกกับเราว่าให้รีบไปจากจุดนี้และจะต้องหาที่สูงที่น้ำจะท่วมไม่ถึงเพื่อหลบภัย
ขณะที่คิดและวิ่งมองหาที่ปลอดภัย  เราได้ยินเสียงคล้ายมีคนมารัวกลองในถ้ำ  มันค่อย ๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น ๆ และคำรามก้องเหมือนฟ้าร้อง
แล้วทุกคนทำอย่างไรครับ  แซกถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
  ทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งในทันที น่ะซิ
โดยปรกติผมจะคุยกับดีนด้วยภาษาไทย  เพราะดีนมีภาษาไทยที่แข็งแรงมากแต่ในตอนนั้นดีนส่งภาษาอังกฤษกับผมและเพื่อนอีกคนในทีมโดยไม่ต้องแปลเป็นไทยว่า
“Come  here now” 
เรามองตามขึ้นไปแล้วได้ข้อสรุปเดียวกัน  นั่นคือที่มั่นของทีมในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้
บริเวณนี้เป็นที่กว้างพอควรและมีที่นั่งพักในระดับสูงพอที่ทุกคนจะนั่งได้  พวกเราปีนขึ้นไปและอยู่ที่นั่นไม่ถึง  5  นาทีระดับน้ำสูงขึ้นอย่างทันทีทันใด  ฝนตกที่อาจจะดูไม่รุนแรงนักที่ข้างนอกถ้ำแต่จะส่งผลรุนแรงต่อลำน้ำในถ้ำ  เหมือนการเอาน้ำในถ้วยไปกรอกใส่ในหลอดกาแฟ  ทั้งระดับน้ำและความเร็วของน้ำที่เพิ่มเป็นทวีคุณ  เมื่อลำน้ำถูกบีบเข้าสู่ที่แคบ ๆ
น้ำตกเดิมที่เราเห็นตอนนี้หายไปแล้วกลายเป็นลำน้ำขนาดใหญ่สีน้ำตาลเข้มที่โกรธเกรี้ยวพัดหอบเอาเศษไม้ดินทรายเข้ามา  พวกเราทำได้อย่างเดียวคือ นั่งรอโดยเราต้องปิดไฟทุกดวงเพื่อเก็บพลังงานไว้ใช้ยามจำเป็นและภาวนาให้ฝนที่ตกข้างนอกหยุดตก 
ความมืด  ความชื้น  ความหนาวเย็น  และความหิวมาเยือนพวกเราพร้อม ๆ กัน  ห้าชั่วโมงผ่านไปตั้งแต่  5  โมงเย็นจน  4  ทุ่ม สายน้ำที่บ้าคลั่งค่อย ๆ สงบลงเหลือทิ้งไว้แต่เศษไม้และดินโคลนสีแดงเต็มพื้นและผนังถ้ำ  ผมพยายามเล่าเหตุการณ์ระทึกใจครั้งนั้นให้ทุกคนฟัง
การลื่นล้มบาดเจ็บหรือการเกิดอุบัติเหตุภายในถ้ำเป็นสิ่งที่นักสำรวจถ้ำพยายามหลีกเลี่ยง  คงไม่ใช่สิ่งที่สบายหากต้องนำคนเจ็บที่อยู่ในถ้ำลึกออกมา  ต้องว่ายน้ำ  นำคนเจ็บขึ้นจากเหว  ฯลฯ  แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สามารถควบคุมให้เกิดน้อยที่สุดได้  โดยการระมัดระวัง  การใส่อุปกรณ์ป้องกัน  การประเมินความสามารถของตนเองและทีมสำรวจว่าสามารถไปได้มากน้อยขนาดไหนหากทีมไม่พร้อมจะไม่เสี่ยงโดยเด็ดขาด  ทุกคนจะกลับออกมาเตรียมตัว  ฝึกหัด  เตรียมอุปกรณ์และแผนสำหรับการเข้าสำรวจในครั้งต่อไป
แล้วในถ้ำมีสัตว์มีพิษหรือเปล่าครับเจ้าหน้าที่ถามขึ้นบ้าง
ตามปรกติสัตว์มีพิษจะไม่ค่อยพบภายในถ้ำลึก ๆ เพราะสัตว์เหล่านั้นไม่สามารถอยู่ในที่ที่มืดสนิทได้  ไม่มีอาหาร ไม่มีแสงแดด   แต่จะพบงูบางชนิดที่สามารถอยู่ในถ้ำลึก ๆ ได้  เป็นงูที่หากินในถ้ำจริง ๆ   กินค้างคาว  เช่น งูกาบหมากหางนิล(Cave dwelling snake) แต่งูประเภทนี้ไม่สามารถกัดคนได้  ส่วนงูชนิดอื่น ๆ จะอาศัยอยู่ในบริเวณปากถ้ำ  และบริเวณที่พอมีแสงสว่างส่องถึง  สัตว์จำพวกงูมักชอบที่เย็นและอยู่ตามซอกหิน  ดังนั้นก่อนที่จะเดิน  มุด  หรือคลานเข้าถ้ำจะต้องมีการตรวจสอบบริเวณที่จะเข้าไปให้เรียบร้อยก่อนผมอธิบายให้ฟัง
แล้วเรื่องการหลงทางในถ้ำล่ะครับอ๊อดถามขึ้นบ้าง
การหลงทางในถ้ำ  ดูเหมือนจะเป็นอันตรายที่นักสำรวจถ้ำไม่กลัวเท่าใดนัก  สำหรับนักสำรวจถ้ำที่มีประสบการณ์  เขาจะมีความสามารถจากประสบการณ์บางอย่างในการจดจำเส้นทาง  พวกเขาจะแม่นยำมากเรื่องทิศทางผมคิดว่าช่วงที่เขาเข้าไปคงจะจิตนาการเส้นทางที่เดินเป็นแผนที่คร่าว ๆ อยู่ในสมอง  ถ้ายิ่งได้ใช้เทคนิคการทำแผนที่ถ้ำด้วย  เข็มทิศ  เทปวัดระยะ ประกอบกับการสเกตและบันทึกคร่าว ๆ ของเส้นทางภายในถ้ำ  เราจะรู้เส้นทางทั้งหมดของถ้ำในทันที  แต่ก็มีบางครั้งที่เจอเส้นทางที่ยากและถ้ำยาวมาก ๆ ก็ทำเครื่องหมายไว้บนเส้นทาง  สาเหตุหนึ่งที่จะทำให้เกิดการหลงทางในถ้ำได้ก็คือ  อุปกรณ์มีปัญหาแต่เราสามารถควบคุมให้เกิดขึ้นน้อยที่สุดได้  การเตรียมอุปกรณ์เช่นไฟฉายจะมีสำรองไว้อย่างน้อย  3  ชุด  อุปกรณ์ทุกชิ้นก่อนเข้าสำรวจและหลังจากสำรวจเสร็จแล้ว จะต้องทำการตรวจเช็คสภาพของอุปกรณ์  ทำความสะอาด   และซ่อมบำรุงพร้อมใช้งานได้ตลอดเวลาผมอธิบายให้ฟัง
ถ้าอย่างนั้นการเที่ยวถ้ำหรือการสำรวจในประเทศไทยในปัจจุบันนี้จะต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษกับการหลงทางภายในถ้ำ  และการเข้าถ้ำทุกครั้งจะต้องมีคนนำทาง  และอุปกรณ์ต้องพร้อมใช่ไหมครับแซกถามพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างเหมือนมองเห็นสัจธรรมของชีวิต
ก็คงต้องเป็นอย่างที่คุณเข้าใจนั่นแหละ  แต่ในอนาคตก็ไม่แน่ถ้าคุณสามารถพัฒนาตัวเองและมีประสบการณ์ที่มากขึ้นพอที่จะออกสำรวจถ้ำเองได้  แต่ตอนนี้คงต้องอาศัยคนที่มีประสบการณ์เป็นคนนำและค่อย ๆ เรียนรู้กันไป  ถ้าทำได้อย่างนี้คุณจะเรียนรู้ได้เร็วขึ้น  ถูกต้องและปลอดภัยกับชีวิตของตนเองผมสรุปให้ฟัง
บางครั้งนักสำรวจถ้ำนำเอาการสำรวจถ้ำมาผนวกเข้ากับกีฬาดำน้ำ ทำให้สามารถท่องเข้าไปยังอาณาจักรที่ลึกเข้าไปนั่นคือการสำรวจถ้ำใต้น้ำ ถือว่าเป็นศาสตร์ที่อันตรายที่สุด  หลาย ๆ ถ้ำที่เราสำรวจจะไปสุดที่แอ่งน้ำ ( Sump )  น้ำทั้งหมดจะมุดหายลงไปในอุโมงค์ที่มีน้ำเต็ม  หรือถ้ำที่อยู่ตามเกาะในทะเล  ดังนั้นการจะเข้าไปสำรวจจะต้องมีการใช้อุปกรณ์พิเศษช่วย  ผู้ที่เป็นนักสำรวจถ้ำใต้น้ำที่เก่งต้องมีประสบการณ์การสำรวจถ้ำมากประกอบกับมีทักษะการดำน้ำที่เชี่ยวชาญจึงสามารถท่องไปในโลกใต้ดินและใต้น้ำได้ดี  การสำรวจถ้ำใต้น้ำเป็นการสำรวจที่ยากเพราะต้องพบกับตะกอนโคลนที่อยู่ตามพื้นถ้ำที่พร้อมจะฟุ้งกระจายได้ตลอดเวลา  ช่องทางที่แคบและกระแสน้ำที่รุนแรงที่อัดผ่านช่องเล็ก ๆ   เวลาในการสำรวจจะถูกจำกัดโดยออกซิเจนในถัง  หินตามผนัง เพดานถ้ำสามารถทำให้เกิดความเสียหายกับอุปกรณ์ได้ตลอดเวลา  ดีนอธิบายเพิ่มเติมให้กับทุก ๆ ฟัง
การสำรวจถ้ำทุกครั้งของนักสำรวจถ้ำทั่วทุกมุมโลกจะยึดถือในกฏเกณฑ์การสำรวจเดียวกันเพื่อป้องกันอันตรายจากการท่องเที่ยวหรือการสำรวจถ้ำไม่ว่าจะเป็นนักสำรวจถ้ำมืออาชีพ  มือสมัครเล่น  หรือนักท่องเที่ยว
1.   การสำรวจถ้ำทุกครั้งจะต้องสวมหมวกนิรภัยตลอดเวลา
2.   อุปกรณ์ให้แสงสว่างจะต้องมีอย่างน้อย  3  ชุด  ได้แก่  ไฟหลัก  ไฟสำรองและไฟฉุกเฉิน  ต้องเตรียมแบตเตอรี่  หลอดไฟสำรองให้เพียงพอและเผื่อ อย่างน้อย  1  เท่าเสมอ
3.   การสำรวจถ้ำจะต้องเข้าสำรวจอย่างน้อย  4  คน  ถ้าคนใดคนหนึ่งไม่พร้อมจะต้องกลับออกมาทั้งหมด  มิฉะนั้นจะเป็นภาระกับเพื่อนร่วมทีมทันที
4.   การเข้าถ้ำทุกครั้งจะต้องบอกกับเพื่อนหรือคนรู้จักที่แน่ใจว่าเมื่อคณะสำรวจยังไม่กลับมาตามกำหนด  เขาจะต้องหาคนตามไปช่วยเหลือได้  ต้องแจ้งถึงถ้ำที่เข้าสำรวจ  ใช้เวลาสำรวจนานเท่าใด  ที่สำคัญที่สุดกลับออกมาเมื่อใด
5.   นักสำรวจต้องเรียนรู้ประสิทธิภาพ  ข้อจำกัดของการใช้อุปกรณ์และเครื่องมือที่ทำงานทั้งหมด  สามารถซ่อมแซมและดัดแปลงเมื่อเกิดปัญหา  สามารถประยุกต์ใช้เครื่องมือในกรณีที่จำเป็นได้  และต้องดูแลรักษาให้อุปกรณ์เครื่องมือพร้อมใช้งานตลอดเวลา
6.   ก่อนใช้งานอุปกรณ์พิเศษเช่น  อุปกรณ์ขึ้นลงทางดิ่ง  อุปกรณ์ดำน้ำ  จะต้องมีการฝึกหัดและฝึกฝนถึงขั้นตอนการทำงานให้ขึ้นใจก่อนเข้าสำรวจจริงทุกครั้ง  เพราะเมื่อเกิดปัญหาจะไม่มีใครสามารถช่วยได้นอกจากตัวเองเท่านั้น
7.   นักสำรวจจะต้องรู้จัดและฝึกฝนการปฐมพยาบาลเบื้องต้น  สามารถช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมได้เมื่อเกิดการบาดเจ็บ เพราะกว่าชุดกู้ภัยจะมาช่วยเหลือได้ต้องใช้เวลานาน  ในกรณีจำเป็นต้องสามารถช่วยให้ผู้บาดเจ็บรอดชีวิตจนกว่าหน่วยกู้ภัยจะมาถึง
8.   การเข้าถ้ำทุกครั้งจะต้องคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อถ้ำ  พึงตระหนักไว้ว่าถ้ำทุกที่เป็นถ้ำที่มีระบบนิเวศเฉพาะและเปราะบาง  สิ่งแปลกปลอมที่เข้าไปย่อมเกิดผลกระทบที่ยาวนาน  เช่น  ขยะ  ถ่านไฟฉายที่หมดแล้วมีมลพิษจากโลหะหนัก  เศษอาหารทำให้เชื้อราและแบคทีเรียบางชนิดสามารถเจริญเติบโตได้ดีหรือแม้กระทั่งเชื้อราและแบคทีเรียที่ติดเสื้อผ้าของผู้สำรวจเอง  ทุกสิ่งที่นำเข้าไปจะกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมสำหรับถ้ำเสมอต้องนำกลับออกมาด้วยเท่าที่จะเป็นไปได้และจงรบกวนสิ่งมีชีวิตในถ้ำให้น้อยที่สุด
สำหรับผู้ที่ต้องการเป็นนักสำรวจถ้ำจะต้องตระหนักไว้เสมอและถามตัวเองก่อนเข้าสำรวจถ้ำทุกครั้งว่า  คุณรู้จักถ้ำดีเพียงใด  การสำรวจถ้ำธรรมชาติที่ยังไม่เคยมีผู้ใดย่างกรายเข้าไปก่อน  ผู้สำรวจจะต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับถ้ำ  เช่น  ธรณีวิทยา  อุทกวิทยา  ตะกอนภายในถ้ำ  กลไกลของอากาศภายในถ้ำ  นิเวศวิทยาภายในถ้ำ  โบราณคดี  ฯลฯ  สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้สามารถลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับถ้ำ  ความปลอดภัยในชีวิตของตนเอง  ค่อย ๆ เรียนรู้และสะสมประสบการณ์  ควรศึกษาจากการติดตามผู้ที่มีประสบการณ์เท่านั้น  ตระหนักไว้เสมอว่า  นักสำรวจถ้ำมืออาชีพที่มีประสบการณ์เป็นสิบ ๆ ปีได้เสียชีวิตไปหลายคนจากอุบัติเหตุในการสำรวจ  ความไม่พร้อมและความประมาท

ก้าวย่างเพื่อหยุดยั้งความเปลี่ยนแปลง

ทุกวันนี้ไม่เพียงแต่ถ้ำเท่านั้นที่รอการค้นพบ  สำรวจ  ศึกษา  และอนุรักษ์จากนักสำรวจ  นักวิชาการในแขนงต่าง ๆ  ทั้งนี้ยังรวมไปถึงพื้นที่คารส์ตทั้งหมดในประเทศไทยที่ต่างก็มีความสัมพันธ์ต่อการคงอยู่ของถ้ำที่มีคุณค่าในประเทศไทย
การสำรวจถ้ำในประเทศไทยยังถือว่าอยู่ในช่วงของการเริ่มต้น  โดยเริ่มจากกรมป่าไม้ในช่วงเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา  เพื่อสำรวจถ้ำต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ความรับผิดชอบแต่ก็เป็นการสำรวจเบื้องต้นและเป็นการวางรากฐานของการจัดการถ้ำในอนาตคเท่านั้น  หลังจากนั้นเกือบ 2 ปีงานการสำรวจวิจัยเเต็มรูปแบบกี่ยวกับถ้ำในประเทศไทยได้เริ่มต้นตั้งแต่ปี  2540  เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และสร้างบุคคลากรที่สามารถทำงานด้านการสำรวจถ้ำในระดับของมืออาชีพ  ภายใต้การสนับสนุนด้านเงินทุนจาก  สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)  ในการศึกษา  2  พื้นที่โครงการคือ  โครงการสำรวจถ้ำในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร  และโครงการสำรวจถ้ำในอำเภอปางมะผ้า  . แม่ฮ่องสอน  เราคาดว่าหลังจากเสร็จสิ้นโครงการทั้งสองนี้แล้ว เราจะมีบุคคลากรไทยที่สามารถดำเนินการในการสำรวจวิจัยถ้ำในระดับของมืออาชีพ  สามารถทำความเข้าใจกับปริศนาของโครงข่ายใต้ดินอันซับซ้อน  รู้ถึงคุณค่าความสำคัญทางด้านต่าง ๆ ของถ้ำอย่างถูกต้อง  สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นฐานข้อมูลในการจัดการใช้ประโยชน์ถ้ำอย่างยั่งยืนในอนาคต
การทำการศึกษาและสำรวจคุณลักษณะ  ระบบนิเวศของถ้ำในสภาพธรรมชาติที่ยังไม่เคยมีมนุษย์คนใดเหยียบย่ำเข้าไปก่อน  การวิจัยที่ต้องแข่งขันกับปริมาณความต้องการใช้ถ้ำเพื่อสนองตอบกระแสการท่องเที่ยวที่ต้องการใช้ประโยชน์ถ้ำที่มีคุณค่าในพื้นที่อื่นๆ  
          ความเสื่อมโทรมของถ้ำจากปัญหาขยะจากนักท่องเที่ยว  เช่น  ถ้ำเชียงดาว  การขีดเชียนตามผนังถ้ำ  การติดตั้งไฟและอุปกรณ์ส่องสว่างถาวร  โดยไม่ได้พิจารณาสภาพสมดุลย์ของอุณหภูมิ ความชื้นและการหมุนเวียนของอากาศภายในถ้ำ  การจับต้องหินงอกหินย้อย  การเดินบนพื้นถ้ำโดยไม่มีการกำหนดเส้นทางที่แน่นอน  และการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกถาวรภายในถ้ำ    ล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อความสมดุลย์ของถ้ำ  และทำให้ถ้ำเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว  ถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ถ้ำจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร  สมดุลย์ของระบบนิเวศห่วงโซ่อาหารภายในถ้ำจะเกิดอะไรขึ้น  สัตว์ถ้ำชนิดพิเศษเหล่านี้จะสูญพันธุ์ไปหรือไม่จากการรุกรานของกิจกรรมท่องเที่ยว  ถ้ำที่เสื่อมโทรมไปแล้วไม่มีคนสนใจเข้าชมแล้วจะทำอย่างไรต่อไป  การฟื้นสภาพของถ้ำจะใช้เวลานานเท่าใด  หากถ้ำที่เปิดใช้ไปแล้วเสื่อมโทรมจนไม่มีนักท่องเที่ยวสนใจเข้าชม  ทางออกก็คือการบุกเบิกเปิดถ้ำใหม่เพื่อดึงดูดให้กิจกรรมการท่องเที่ยวเข้ามาพร้อมกับรายได้ครั้งใหม่กระนั้นหรือ
ตราบใดที่ยังขาดความเข้าใจที่ถูกต้องถึงคุณค่าและความเปราะบางของถ้ำ  ขาดการควบคุมการเปิดใช้ถ้ำ  ขาดการวางแผนการใช้ประโยชน์อย่างรอบด้าน  อนาคตของทรัพยากรถ้ำในประเทศไทย  คงเหลือเพียงแค่รายงานการสำรวจว่ามีการค้นพบปลาชนิดใหม่ของโลกแต่ได้สูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยในเวลาอันรวดเร็วหลังจากการเปิดถ้ำเพื่อใช้ประโยชน์ไม่กี่ปี 
ภาพถ่ายที่สวยงามของถ้ำต่างๆ  อาจเป็นเพียงแค่บทบันทึกของอดีตที่แสนหวานเพราะความสวยงามของถ้ำเหล่านั้นกำลังจะถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วด้วยความคึกคะนองของนักท่องเที่ยวและการปล่อยปละละเลยขององค์กรที่เกี่ยวข้อง
ธรรมชาติได้ก่อกำเนิดสายพันธุ์ของสิ่งมีชิวิตใหม่ ๆ รวมไปถึงประติมากรรมธรรมชาติซึ่งเป็นสิ่งอัศจรรย์ใช้ระยะเวลาเป็นหมื่น ๆ  เป็นล้าน ๆ ปี  และประติมากรรมเหล่านี้มีความเปราะบางมากเมื่อถูกทำลายลงจากน้ำมือของมนุษย์  แล้วก็จะเป็นการสูญเสียตลอดกาลเพราะระบบนิเวศในถ้ำเกือบจะเป็นระบบปิด  ซึ่งไม่ฟื้นตัวเร็วเหมือนกับระบบนิเวศของป่า  ซึ่งมีความหลากหลายและมีการทดแทนและคืนสู่สภาวะสมดุลย์  ได้รวดเร็วกว่าหลายร้อย  หลายพันเท่า
และวันนี้นักสำรวจถ้ำกำลังทำการสำรวจและศึกษา  เพื่อให้คนรุ่นต่อไปได้พบเห็นและมีโอกาสรู้จักกับธรรมชาติในโลกที่ไม่ต้องการแสงสว่าง  แม้การสำรวจจะเต็มไปด้วยความเสี่ยงและอันตรายที่รออยู่ข้างหน้า  แต่นักสำรวจถ้ำก็ยังคงเดินหน้าต่อไปเพื่อให้การสำรวจนำไปสู่การวางแผนในการรักษาถ้ำให้รอดพ้นจากความเปลี่ยนแปลงอันเกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์


นักสำรวจถ้ำ 1

นักสำรวจถ้ำ

อนุกูล สอนเอก

นับตั้งแต่มนุษย์คนแรกได้ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์  การสนใจใคร่รู้ของมนุษย์ได้ขยายขอบเขตไปอย่างกว้างขวางไม่มีที่สิ้นสุด  มันเป็นความต้องการเรียนรู้และทำความรู้จักกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว  นักวิทยาศาสตร์แขนงต่าง ๆ ได้พยายามทำการสำรวจทำความเข้าใจกับกลไกลการเปลี่ยนแปลงอันสลับซับซ้อนของโลกและธรรมชาติอันหลากหลาย
. โลกหนึ่งที่อยู่นอกเหนือจากการคาดคิดและคาดเดาของมนุษย์  โลกที่ลึกลงไปใต้ชั้นหินและพื้นดินนับเป็นร้อยเป็นพันฟุต  โลกที่ธรรมชาติมิได้สร้างให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้  มีเพียงสิ่งมีชิวิตบางชนิดและพวกจุลชีพเท่านั้นที่สามารถดำรงอยู่และวนเวียนอยู่ในนั้นไม่รู้จักจบสิ้น
มันคือแหล่งที่บันทึกความเป็นมาและการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างเงียบ ๆ สิ่งมีชีวิตหลายชนิดมีวิวัฒนาการในแนวทางที่เป็นไปไม่ได้  ไม่มีตา  ไม่มีสี  มีประสาทสัมผัสที่ว่องไวที่เอื้อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในภาพแวดล้อมที่จำกัดได้  นับว่าเป็นของขวัญของธรรมชาติที่ประทานให้โดยแท้
ก้าวย่างของมนุษย์คนแรกที่ประทับไว้ใต้พิภพ  อาจจะเทียบความสำคัญไม่ได้กับก้าวย่างแรกบนด้วยจันทร์  แต่คุณค่าของมันอยู่ที่การก้าวล่วงเข้าไปยังดินแดนที่มนุษย์ยังไม่รู้จักและเป็นย่างก้าวแรกของการศึกษาทำความเข้าใจในอาณาจักรใต้พิภพ

·         ปฐมบท
วันหนึ่งในช่วงปลายฤดูฝนปี  2535
ฝนตกมาตั้งแต่เช้า หลังจากพวกเราเตรียมอุปกรณ์บางอย่างที่จำเป็น ก็เริ่มออกเดินไปตามทางเดินเล็ก ๆ ลัดเลาะตามริมน้ำ  วันนี้เป็นวันแรกของการทำงานสำรวจที่ผมหนักใจมากที่สุดในชีวิต
ด้านหน้าของพวกเราคือปากถ้ำที่มีขนาดมหึมามันคือเส้นแบ่งระหว่างโลกของแสงสว่างและโลกของความมืด  หลังจากที่เราเดินผ่านปากถ้ำเข้ามาสักระยะหนึ่งและหันมองกลับไปจะเห็นปากถ้ำมีขนาดเล็กนิดเดียว  ยิ่งเดินลึกเข้าไปแสงสว่างยิ่งน้อยลง ๆ ราวกับเป็นเขตสิ้นสุดของมัน  ความมืดที่ครอบคลุมอยู่รอบตัว  ความกลัวในจิตใจต่างสร้างภาพหลอนไปต่าง ๆ นานา  รอบตัวคล้ายมีบางสิ่งคอยจ้องมองอยู่  สัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด มันหัวเราะยินดีราวกับเห็นอาหารอันโอชะและรอเวลาเข้ามากัดกินอย่างหิวกระหาย
ความเวิ้งว้างและความเงียบที่ไร้สรรพเสียงใด ๆ   อากาศที่อึดอัดผสมกับกลิ่นเหม็นเอียน ๆ ที่ฉุนจนขึ้นจมูก ทุกอย่างที่ผมสัมผัสมิใช่โลกที่ผมคุ้นเคยมาก่อน  ผมรู้สึกว่าที่นี่คงเป็นที่เดียวบนโลกที่ไม่มีกลางวันและกลางคืน  มีแต่เพียงความมืดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
นั่นเป็นประสบการณ์การสำรวจถ้ำและความรู้สึกครั้งแรกที่ผมสัมผัสได้  และผมคิดว่าคนอื่น ๆ ที่เข้าถ้ำครั้งแรกคงจะรู้สึกอย่างเดียวกับผม  การเดินทางในครั้งนั้นนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงการทำงานในชีวิตของผมจนถึงทุกวันนี้ 
ชีวิตประจำวันของผมอยู่ในโลก  โลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  โลกหนึ่งเป็นโลกปรกติที่คุณสามารถสัมผัสกับมันได้รอบ ๆ ตัว แสงแดดสีทองในยามเช้า  ต้นไม้ใบหญ้าที่ดูร่มรื่น  อากาศที่มีกลิ่นไอบาง ๆ ของหญ้าแห้งและกลิ่นดินที่หอมชื่นใจเมื่อฝนโปรยปรายลงมา  ผู้คนและรถราที่วิ่งกันขวักไขว่เต็มท้องถนน  
ส่วนชีวิตในอีกโลกหนึ่งของผมอาจจะอยู่นอกเหนือการรับรู้ของคนทั่วไป สำหรับที่นี่เวลาคล้ายกับจะหยุดนิ่ง  ไม่มีกลางวัน กลางคืน  วันนี้ก็เหมือนกับเมื่อวาน  พรุ่งนี้หรืออีกพันปี  หมื่นปีข้างหน้า  ถ้ำส่วนใหญ่เป็นโลกที่ปราศจากแสง  ต้นไม้ที่ผมเห็นในถ้ำเป็นเพียงเศษซากที่ถูกน้ำพัดมาทับถมและเน่าเปื่อย กลิ่นถ้ำเป็นกลิ่นเย็น ๆ เจือจางด้วยกลิ่นใบไม้เน่าและขี้ค้างคาว  มีเพียงความเงียบและสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ เท่านั้นที่เป็นเพื่อน 
ในวันนี้ความรู้สึกของผมทุกครั้งที่ได้กลับคืนสู่ถ้ำมีความรู้สึกไม่ต่างจากการกลับบ้าน  ความมืดและความเงียบทำให้รู้สึกถึงความสงบและอบอุ่นอย่างประหลาด  กลิ่นต่าง ๆ ภายในถ้ำกลับกลายเป็นสิ่งที่คุ้นเคย  ถ้ำกับผมไม่ใช่เป็นสิ่งแปลกปลอมของกันและกันอีกต่อไป
 “ทำไมต้องสำรวจถ้ำ”  เป็นคำถามที่มักเกิดขึ้นเสมอในการสนทนากับผู้คน  ทุกครั้งที่ผมเล่าและพูดคุยถึงงานสำรวจที่ผมกำลังทำอยู่ให้คนอื่น ๆ ฟัง  และหลังจากนั้นจะติดตามมาด้วยคำถามที่ว่า
นักสำรวจถ้ำคือใคร” 
นักสำรวจถ้ำทำอะไร” 
นักสำรวจถ้ำ (Speleologist) คือ ผู้ที่มาจากหลากหลายสาขาอาชีพแต่ชอบในสิ่งเดียวกันคือชอบและรักการสำรวจถ้ำ  คนเหล่านี้ไม่ได้ดั้นด้นค้นหาความบันเทิงสนุกสนานเป็นหลักหากแต่พวกเขาทำงานเก็บรายละเอียดของถ้ำต่าง ๆ ทำแผนที่  ศึกษาความเปลี่ยนแปลงของถ้ำ  โครงสร้างทางธรณีวิทยา  อุทกวิทยาและนิเวศวิทยาภายในโลกใต้พิภพที่มืดมิดไร้แสงสว่าง  ไร้สิ่งนำทาง  ใช้ถ้ำเป็นสนามทดลองใต้พื้นพิภพทำความเข้าใจกับปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของธรรมชาติในอดีตและปัจจุบัน
การทำงานสำรวจถ้ำเปรีบบเสมือนการเปิดพรมแดนการเรียนรู้ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติที่อยู่นอกเหนือจากความเข้าใจของคนเราในอดีต 
มันคือโลกที่ซ่อนตัวอยู่เงียบ ๆ ใต้ชั้นหินและพื้นดิน  โลกที่มีกฏเกณฑ์เฉพาะตัวที่เอื้อให้กับสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะพิเศษที่สามารถวิวัฒนาการและปรับตัวให้อยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ที่เคร่งครัดและภายใต้การถูกจำกัดโดยธรรมชาติ  ปัจจุบันนี้โลกใต้พิภพมิได้อยู่ไกลเกินความรู้และความเข้าใจของคนเราเหมือนในอดีต  ทุกวันนี้ถ้ำในทั่วทุกมุมโลกต่างเปิดเผยคุณค่าความสำคัญออกมาโดยนักสำรวจที่ทำงานศึกษาและทำความเข้าใจกับระบบกลไกธรรมชาติที่เปราะบางภายในถ้ำ

สัมผัสคุณค่าที่แท้จริง

ต้นฤดูหนาวปี  2537
หลังจากการสำรวจถ้ำครั้งแรกของผม  ผมสะดุดตากับหนังสือสารคดีเล่มหนึ่งหน้าปกเป็นรูปหินย้อยสีขาวมีลักษณะคล้ายผลึกรูปเข็มนับร้อย ๆ อันพุ่งออกมาจากหินย้อย ซึ่งเขียนขึ้นโดย จอห์น สปีส์  งานเขียนอันนั้นนับว่าเป็นแรงบันดาลใจของผม   และตั้งความหวังไว้ว่าต้องพาตัวเองไปพบกับเจ้าของงานเขียนนั้น 
เป็นโอกาสอันดีที่ผมจะต้องไปสำรวจถ้ำในกิ่ง อ. ปางมะผ้า เพื่อสำรวจเก็บข้อมูลให้กับจังหวัดแม่ฮ่องสอน  วันหนึ่งของการสำรวจถ้ำลอดได้มีฝรั่งคนหนึ่งโผล่หน้าเข้ามาในความมืด  และนั่งมองดูพวกเราทำงานในถ้ำ  เขาดูจะสนใจกล้องรังวัดที่ทำขึ้นเองง่าย ๆ จากไม้อัดและหลอดเล็งที่สร้างขึ้นจากแท่งปากกาลูกลื่นที่พวกเรานำมาด้วยซึ่งเรียกมันว่า กล้องหัตถกรรมไทย
เราเจอฝรั่งคนนี้อีกครั้งที่ปากถ้ำลอด แสงสว่างของปากถ้ำทำให้เราทราบว่าเรากำลังพูดคุยอยู่กับ  จอห์น  สปีส์
เดือนที่ผมทำงานที่ปางมะผ้า  คือช่วงเวลาที่ผมเก็บเกี่ยวประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับถ้ำอันมีมากมายไม่รู้จักหมดสิ้นจากจอห์น  เวลาที่อยู่ที่ปางมะผ้าถูกใช้ไปกับการเข้าสำรวจถ้ำตามคำบอกเล่าและแนะนำของจอห์น เริ่มจากถ้ำที่ง่าย ๆ ไปจนถึงยาก ๆ อย่างถ้ำแม่ละนา  บางครั้งผมไปขลุกอยู่ที่หมู่บ้านปางคาม  อยู่แถบชายแดนพม่า  ใช้เวลาเป็นอาทิตย์เพื่อสำรวจทำให้พบถ้ำใหม่ ๆ ที่ยังไม่มีการค้นพบและนำข้อมูลที่ได้มาคุยกับจอห์นเมื่อกลับออกมา   จากการพบเห็นถ้ำจำนวนมากในปางมะผ้าทั้งถ้ำที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์  เสื่อมโทรม  การกลับไปดูถ้ำที่สำคัญทุกปีในช่วงฤดูแล้ง  ทำให้ผมตระหนักว่าสิ่งที่มีคุณค่าเหล่านี้กำลังเสื่อมโทรมลงอย่างน่าใจหาย  จากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์  และไม่ทราบถึงคุณค่าที่แท้จริง 
นอกจากถ้ำจะมีคุณค่าทางการท่องเที่ยวที่เราพบเห็นจนชินตาจนบางครั้งเราแทบจะไม่คิดถึงคุณค่าทางด้านอื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่หากเราศึกษาแล้วเรากลับพบคุณค่าของมันมากมาย 
ถ้ำเป็นแหล่งค้นคว้าที่สำคัญของศาสตร์ต่าง ๆ เช่น  ทางโบราณคดี  ในวัฒนธรรมดั้งเดิมของมนุษย์ในสมัยโบราณ  ถ้ำเป็นที่อยู่อาศัยและที่หลบภัยอย่างดี  เราจะพบหลักฐานทางโบราณคดี  เช่น  เครื่องมือหินกะเทาะ  เครื่องมือหินขัด  ภาชนะดิน  เครื่องมือโลหะ  เครื่องประดับ  กระดูกมนุษย์  เมล็ดพืช ฯลฯ  หลักฐานต่าง ๆ ที่อยู่ในถ้ำเหล่านี้จะสามารถบ่งบอกถึงความเป็นมาของคนโบราณในดินแดนแหลมทองและความรุ่งเรืองของวัฒนธรรมภูมิปัญญาของบรรพชนในอดีตได้ 
หินงอกหินย้อยในถ้ำที่นักท่องเที่ยวสนใจที่จะชื่นชมความงาม  กลับเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถบ่งบอกถึงการเปลี่ยงแปลงของบรรยากาศของโลกในอดีตย้อนหลังไปนับเป็นหมื่น ๆ ปี  โดยอาศัยเทคนิคการหาอายุโดยใช้คาร์บอน-14  ไม่เพียงแต่หินงอกหินย้อยเท่านั้นแม้แต่ตะกอนบางอย่างภายในถ้ำก็ยังสามารถประมาณอายุของถ้ำและปรากฏการณ์ของสิ่งแวดล้อมในอดีตได้ ดังเช่น  ถ้ำผาไท จังหวัดลำปาง  พวกเราได้พบตะกอนบนพื้นถ้ำ  สิ่งที่น่าสนใจก็คือชั้นตะกอนที่เราพบเป็นซากเถ้าถ่านของภูเขาไฟที่ได้ระเบิดเมื่อประมาณ  9.3  ล้านปีที่แล้ว นั่นก็หมายความว่า ถ้ำผาไทจะมีอายุมากกว่านั้น  และมีการระเบิดของภูเขาไฟในพื้นที่ใกล้เคียง
การศึกษาความสัมพันธ์ด้านระบบนิเวศในถ้ำเพื่ออนุรักษ์สิ่งมีชีวิตชนิดพิเศษที่หายากมีความสำคัญเช่นกัน  ระบบนิเวศในถ้ำแตกต่างออกไปจากระบบนิเวศภายนอก  เนื่องจากในห่วงโซ่อาหารภายนอกเริ่มต้นจากพืชที่สร้างอาหารจากการสังเคราะห์แสง  แต่ภายในถ้ำห่วงโซ่อาหารเริ่มจากขี้ค้างคาว และซากพืชซากสัตว์ที่ถูกน้ำพัดพาเข้ามาถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียและเชื้อราบางชนิดสิ่งเหล่านี้จะเป็นอาหารให้กับแมลงตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ในดิน  แมลงเหล่านี้ก็จะเป็นอาหารให้กับแมลงใหญ่ชนิดอื่น ๆ พวกมันจะมีการกินต่อกันเป็นทอด ๆ   จำนวนประชากรของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะถูกจำกัดโดยอาหาร  และสภาพแวดล้อม  ประกอบกับสภาพแวดล้อมภายในถ้ำเป็นสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างอยู่นิ่งและคงที่  ยิ่งเข้าไปลึกสภาพแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงน้อย  เช่น  อุณหภูมิ  ความชื้นสัมพัทธ์ ฯลฯ  ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นปัจจัยจำกัดทำให้ระบบนิเวศภายในถ้ำเป็นระบบที่เฉพาะ  สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่หลงเข้าไปจะค่อย ๆ วิวัฒนาการและปรับตัวให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมได้    ส่วนที่ไม่สามารถปรับตัวได้หรือไม่สามารถแข่งขันกับชนิดอื่น  ๆได้จะตายลง  สิ่งมีชีวิตเหล่านี้หากมีการหลงออกมาภายนอกหากโชคดีสามารถปรับตัวเข้ากับระบบนิเวศภายนอกได้จะเป็นการทดแทนหรือเพิ่มความหลากหลายของสายพันธุ์ตามธรรมชาติ  และความหลากหลายในระบบนิเวศ
การศึกษา  สำรวจ  จดบันทึกข้อมูลต่าง  ๆ ภายในถ้ำเป็นสิ่งที่สามารถใช้ติดตามการเปลี่ยนแปลงของถ้ำได้ เพราะนอกจากการสำรวจทำแผนที่ถ้ำทุกครั้งจะต้องมีการถ่ายภาพ  บันทึกข้อมูลอากาศ  ฯลฯ  สามารถใช้เปรียบเทียบติดตามผลการเปิดใช้ถ้ำได้อย่างดีที่สุด  ถ้ำแต่ละถ้ำมีลักษณะโดดเด่นและความสำคัญไม่เหมือนกันซึ่งจะส่งผลให้การตัดสินใจใช้ถ้ำต่างออกไปด้วย  ถ้ำที่มีสิ่งมีชีวิตชนิดพิเศษถ้าหากมีอยู่เพียงไม่กี่ถ้ำและมีจำนวนประชากรอยู่น้อย  ย่อมเป็นอันตรายอย่างมากหากถูกบุกรุกโดยการท่องเที่ยว
การสำรวจจะช่วยในการตัดสินใจว่าจะนำถ้ำนี้ออกมาใช้เพื่อการท่องเที่ยวหรือจะเก็บถ้ำนี้เอาไว้เพื่องานการศึกษาวิจัยเท่านั้น

การสำรวจ  บทเริ่มต้นของการวิจัย

ฤดูร้อนปี  2542
วันที่สองของการทำงานในสัปดาห์ที่  ของการสำรวจถ้ำในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร  พวกเราตัดสินใจตั้งแคมป์อยู่กลางป่าเพื่อเดินทางเข้าสำรวจบริเวณผาฟ้าซึ่งเป็นภูเขาหินปูนที่เห็นตั้งตระหง่านอยู่กลางพื้นที่  คณะสำรวจประกอบด้วย  ดีน  สมาร์ท  หัวหน้าทีมสำรวจถ้ำ  ผู้เชื่ยวชาญจากประเทศอังกฤษ  เจ้าหน้าที่ป่าไม้  นักสำรวจจากโครงการ  ตามแผนการที่กำหนดขึ้นคร่าว ๆ พวกเราจะตั้งแคมป์สำรวจบริเวณผาฟ้าเป็นเวลา  วัน พื้นที่ตั้งแคมป์ที่พวกเราเลือกไม่ไกลจากทางสายหลักที่ใช้ในการส่งกำลังบำรุงและง่ายต่อการส่งเสบียงหรือขอความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน
          จากแผนที่ธรณีวิทยาและแผนที่ภูมิประเทศ  ทุ่งใหญ่นเรศวรฯคือภูมิประเทศคาร์สต(Karst)ขนาดใหญ่อยู่ในภาคตะวันตกของประเทศไทยครอบคลุมจังหวัดตากและกาญจนบุรี พื้นที่นี้ยังไม่เคยมีคณะสำรวจใดเคยเข้าสำรวจมาก่อน  ในแผนที่ภูมิประเทศ  1  :  50,000 ของกรมแผนที่ทหาร  พื้นที่นี้ปรากฏแอ่งยุบ (Doline) กระจายอยู่เป็นจำนวนมาก  ดังนั้นการเข้าสำรวจย่อมมีโอกาสพบถ้ำเป็นจำนวนมาก  พวกเราเลือกที่จะเข้าสำรวจหลุมยุบที่มีพื้นที่ใหญ่และลึกเป็นอันดับแรก เพราะมั่นใจว่าน้ำทั้งหมดที่อยู่ในลุ่มน้ำจะไหลลงไปรวมกันและมุดหายลงไปใต้ดิน  ถ้าโชคดีอาจพบถ้ำที่มีขนาดใหญ่และยาวทะลุไปออกอีกฟากเขาได้
          การค้นหาถ้ำที่ใหญ่และยาวมาก ๆ มีความหมายต่อพวกเราเนื่องจากว่าถ้ำเหล่านี้ มีสภาพแวดล้อมที่สามารถเอื้อให้เกิดสิ่งมีชีวิตชนิดพิเศษ หรือสิ่งมีชีวิตที่เป็นชนิดพันธ์ใหม่ ๆ เพราะยิ่งลึกเข้าไปในถ้ำมาก ๆ สภาพแวดล้อมภายในจะมีการเปลี่ยนแปลงน้อย  ไม่มีแสงสว่างและที่สำคัญคือโอกาสที่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะหลงทางวนเวียนอยู่ในความมืดจนปรับตัว  วิวัฒนาการ  เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดพิเศษย่อมมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
          อุปสรรคในการทำงานอย่างแรกสุดที่เราเผชิญอยู่ก็คือ  การค้นหาปากถ้ำ  เพราะบางพื้นที่ยังไม่เคยมีเจ้าหน้าที่เคยเดินสำรวจมาก่อน ทุกอย่างจะต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด  แหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดที่สามารถใช้ได้ก็คือแผนที่ภูมิประเทศ  ทุก ๆ แห่งที่เราคาดว่าน่าจะมีถ้ำได้ถูกกำหนดขึ้น  ที่เหลือก็คือการเดินสำรวจเพื่อตรวจสอบพื้นที่ตามสมมุติฐานที่พวกเราตั้งขึ้นมา  การเดินทางจึงจำเป็นต้องใช้แผนที่ภูมิประเทศกับเครื่องหาตำแหน่งโดยใช้ดาวเทียม(GPS)เป็นหลัก  เพื่อตรวจสอบตำแหน่งและทิศทางการเดินไม่ให้ออกนอกเส้นทางที่วางเอาไว้
          อุปสรรคอย่างที่สองก็คือความรกทึบของป่า  พื้นที่บางส่วนเป็นหมู่บ้านและไร่เก่าของม้งที่อพยพออกไปเมื่อ  ปีที่แล้ว  ในปัจจุบันสภาพป่ากำลังเริ่มฟื้นตัว  ภายในทุ่งหญ้ามีลูกไม้เริ่มขึ้น  ป่าบางช่วงเป็นป่าเบญจพรรณ  และป่าดิบ  หลายครั้งเราจะต้องใช้การเปิดเส้นทางใหม่หรืออาศัยเส้นทางสัตว์อย่างเช่น  ช้างหรือกระทิงทำให้เดินสะดวกขึ้น 
          สองชั่วโมงแรกของการเดินพวกเราไปได้เพียงแค่  2-3  กิโลเมตรเท่านั้นจุดพักแรกดุจากแผนที่จะอยู่บนสันเขาด้านหน้าห่างไม่ถึง  กิโลเมตรเป็นจุดสูงที่สุดของหลุมยุบ  หลังจากนั้นเราจะตัดลงหุบเขาเพื่อเดินตามทางน้ำหลักเพื่อหาน้ำมุดในหุบเขา
          หลังจากที่พักกันจนหายเหนื่อยแล้ว  พวกเราเริ่มออกเดินตัดลงหุบเขา  มีดที่อยู่ข้างเอวของแต่ละคนถูกนำออกมาใช้เปิดเส้นทาง  ทางลงค่อนข้างชันพวกเราต้องระมัดระวังไม่ได้ลื่นไถลลงไปกองรวมกันอยู่ด้านล่าง  หลังจากตัดเส้นทางลงมาได้ไม่นานพวกเราพบด่านช้าง  แน่นอนที่สุดทางเดินของช้างย่อมพาเราลงไปหาแหล่งน้ำขนาดใหญ่  พวกเราเดินลัดเลาะตามด่านช้างลงไปเรื่อย ๆ จนพบน้ำซับที่ผุดออกมาจากใต้ดิน  เดินตามทางน้ำไปปริมาณน้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านห้วยแยกหลายที่แต่ก็ยังคงรักษาเส้นทางตามทางน้ำสายหลัก  ประมาณ  กิโลเมตรเราพบสิ่งที่ค้นหา   เป็นจุดสุดท้ายที่ลำห้วยทั้งสายไหลมุดลงใต้ดินบริเวณหน้าผาใหญ่พอดี  แต่ช่องทางที่น้ำมุดมีขนาดแคบมาก  กว่า  20  นาทีของความพยายามหาวิธีเข้าไปแต่ก็ไม่สัมฤทธิ์ผล
เมื่อก่อนตอนที่ระดับน้ำใต้ดินอยู่สูงกว่านี้  อาจจะมีช่องน้ำมุดอื่นที่อยู่ด้านบน พวกเราต้องแยกกันค้นหา“  ดีนเสนอความคิดขึ้นมา 
          ห่างจากจุดที่น้ำมุด  20  เมตรด้านซ้าย  เราพบช่องน้ำมุดเก่าที่ต่อเชื่อมกับถ้ำด้านล่าง  ทางลงเป็นเหวลึก 3-4  เมตรแต่ก็พอที่จะปีนลงไปสำรวจได้  คณะสำรวจใช้เวลาเตรียมอุปกรณ์ไม่นาน  ทีมถูกแบ่งออกเป็น  ชุด  ชุดหนึ่งทำการสำรวจโถงถ้ำที่พบ  อีกชุดเดินสำรวจตามหน้าผาเพื่อดูถ้ำแห้งหรือจุดน้ำมุดอื่นๆ เพราะจากการประเมินคร่าว ๆ บริเวณมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์และพื้นที่ใกล้เคียงมีความลาดชันไม่มากสามารถทำการเกษตรได้   ถ้าโชคดีเราอาจพบหลักฐานทางโบราณคดีในถ้ำอื่นบริเวณนี้
          ดีน  ผู้ที่มีประสบการณ์การสำรวจถ้ำมากที่สุดในทีมเป็นคนนำเพราะเขาสงสัยว่าภายในถ้ำอาจจะมีอากาศไม่ดีหรือหมายถึงอาจจะมีจุดอับอากาศ  ที่มีก๊าซออกซิเจนอยู่น้อยมากจนอาจจะทำให้เกิดอันตรายอย่างใหญ่หลวงต่อทีมสำรวจได้  ตามปรกติแล้วในถ้ำที่ยากและอันตรายเราจะให้คนที่มีประสบการณ์มากที่สุดเป็นคนนำ  แต่ก็จะยกเว้นในบางกรณีถ้าทีมต้องการความสามารถพิเศษของสมาชิกคนใดคนหนึ่งในทีมในการนำสำรวจก็สามารถเปลี่ยนให้คนที่พร้อมที่สุดเป็นหัวหน้าทีมได้
หมวกนิรภัย  สนับเข่าและสนับศอกถูกขยับให้กระชับกับร่างกายพร้อมสำหรับการปีนลงไป เมื่อพวกเราลงไปถึงด้านล่างไฟฉายและตะเกียงแคลเซียมคาร์ไบด์ที่ศีรษะถูกจุดขึ้นเพื่อขับไล่ความมืด  ดีนจุดไฟแช็คในมือเพื่อเช็คอากาศ  ไม่มีปัญหาออกซิเจนมีพอที่จะหายใจ”  ผมนึกในใจ  พวกเรายังคงรู้สึกได้ถึงความอึดอัดเมื่อหายใจในสภาพอากาศที่มีสัดส่วนของออกซิเจนที่ต่ำกว่าปรกติ  แต่ดูเหมือนยิ่งเดินลึกเข้าไปพวกเรารู้สึกอึดอัดมากขึ้น  พร้อม ๆ กับเส้นทางยิ่งแคบและลึกลงไปเรื่อย ๆ   เครื่องวัดระดับคาร์บอนไดออกไซด์บอกค่าสัดส่วนของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศที่ระดับ  1.9  เปอร์เซ็นต์  แต่ไฟแช็คในมือบอกว่ายังสามารถเข้าไปต่อได้  โถงถ้ำตอนนี้ยิ่งแคบเข้ามาไม่ถึง  เมตรด้านหน้าคือแอ่งน้ำมีความกว้างประมาณ  1-1.5 เมตรน้ำทั้งหมดจะมุดลอดเข้าไปในโพรงใต้ดิน  นั่นหมายความว่าต่อจากนี้ไปเราไม่สามารถเข้าสำรวจได้อีก
อุปกรณ์สำรวจต่าง ๆ ถูกนำออกมาเพื่อใช้ทำแผนที่กลับออกไปยังปากถ้ำ  การสำรวจจะต้องใช้คนอย่างน้อย  คน   หนึ่งคนสำหรับการจดบันทึกข้อมูล  หนึ่งคนสำหรับอ่านเข็มทิศและเครื่องวัดมุมดิ่ง  สองคนสำหรับทำหมุดสำรวจและวัดระยะทาง
พวกเราทำการสำรวจโดยวาดแผนที่ถ้ำคร่าว ๆ กลับออกมาโดยใช้เข็มทิศ  เทปวัดระยะ  และเครื่องวัดมุมดิ่งเพื่อนำข้อมูลที่ได้นำเข้าคอมพิวเตอร์เพื่อคำนวน  ปรับแก้ความคลาดเคลื่อนและวาดภาพแผนผังของโถงถ้ำ  ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นทีมสำรวจที่สองได้ทำการสำรวจพื้นที่ในบริเวณใกล้เคียงได้พบโถงถ้ำบริเวณหน้าผา  ภายในถ้ำพบภาชนะดินเผาขึ้นรูปด้วยมือในสภาพสมบูรณ์  ใบและเศษหม้อดินที่แตกอยู่บนพื้นถ้ำ  พวกเราทำการจดบันทึกถ่ายภาพและวัดขนาดเพื่อทำหลักฐานไว้ก่อนกลับแคมป็ใหญ่
หลังจากที่พวกเราสาละวนกับการหุงหาอาหารและรับประทานอาหารเย็นแล้ว  ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจวันนี้จะนำมาสรุปตรวจสอบ และนำเข้าคอมพิวเตอร์เพื่อวาดแผนที่ถ้ำคร่าว ๆ เพื่อป้องกันความผิดพลาดจากการสำรวจเผื่อมีบางอย่างผิดพลาด  ในวันรุ่งขึ้นจะได้กลับไปเก็บข้อมูลแก้ไขให้ถูกต้อง

ประสบการณ์ : หัวใจของการเอาตัวรอด  ความรู้ที่ไม่มีบันทึกในตำรา

ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งเย็น ทั้งที่ช่วงนี้เป็นเดือนเมษายน  อากาศที่เย็นเยียบไล่คณะสำรวจหลายคนลงจากเปลลงมาผิงไฟเพื่อขับไล่ความหนาวที่เข้าไปถึงกระดูก
กองไฟถูกเร่งฟืน เพื่อให้มีความร้อนพอให้ความอบอุ่นกับทุกคน  เสียงเก้งร้องอยู่ไม่ไกลจากแค้มป์คงลงกินโป่งที่ใดที่หนึ่งไม่ไกลจากนี่  เวลาดึกสงัดเอย่างนี้ราสามารถได้ยินเสียงต่างๆ  ในธรรมชาติได้อย่างชัดเจนบางครั้งจะได้ยินเสียงที่แว่วมาตามลมที่เราไม่รู้จักและไม่เคยได้ยินมาก่อน เสียงร้องที่เย็นเยียบเข้าไปถึงขั้วหัวใจ สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ขวัญอ่อนได้เหมือนกัน    ไม่นานนักบรรยากาศก็นำพาเรื่องราวต่าง ๆ เข้ามาสู่วงสนทนารอบกองไฟ
ถ้ำที่พวกเราไปพบในวันนี้ที่มีแอ่งน้ำอยู่ข้างใน  มันไปสุดอยู่แค่นั้นหรือครับหรือสามารถไปต่อได้”  อ๊อดดี้นักศึกษาฝึกงานถามขึ้น
ไม่หรอกผมคิดว่าโถงถ้ำจะต้องไปต่อได้แต่พวกเราอาจผ่านช่วงนั้นไปไม่ได้ ต้องมีเวลาในการสำรวจและอุปกรณ์มากกว่านี้ผมตอบ
ถ้ำที่เราพบหลาย ๆ ที่จะเป็นอย่างนี้ เมื่อเข้าไปสำรวจก็จะไปสุดที่แอ่งน้ำ ( Sump) เพราะว่าถ้ำส่วนใหญ่เกิดขึ้นภายใต้สภาพแวดล้อมที่ต่ำกว่าระดับน้ำใต้ดิน (Water Table) ภายในชั้นของหินปูนมีรอยแตกเป็นจำนวนมาก (Joint) น้ำที่รวมตัวกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะกลายเป็นกรดอ่อน ๆ  สามารถละลายหินปูนได้ดี  ช่วงที่มีน้ำเต็มโพรงถ้ำหินปูนปริเวณที่มีพื้นที่ผิวสัมผัสกับน้ำจะถูกละลายจนกลายเป็นโพรงกลมค่อย ๆ ขยายออกทุกทิศทุกทาง  เราเรียกถ้ำที่เกิดขึ้นใต้ระดับน้ำใต้ดินว่า “Phreactic cave”  ต่อมาภายหลังระดับน้ำใต้ดินลดระดับลงทำให้ภายในโพรงมีอากาศและน้ำอยู่ภายในเราเรียกว่า “Vados Cave” ระดับน้ำในถ้ำจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดปี  หากเกิดการไหลกัดเซาะบริเวณพื้นและผนังถ้ำ  ทำให้ระดับพื้นถ้ำลดระดับลงมาเรื่อย ๆ ตามการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำใต้ดินรูปร่างของถ้ำจึงมีการพัฒนารูปแบบตามอัตราการกัดเซาะและการละลายร่วมกัน เกิดเป็นโพรงถ้ำที่มีรูปร่างเหมือนรูกุญแจ (Key Hole)“ ดีนอธิบายให้ฟังเพิ่มเติม  ทุกคนนั่งฟังอย่างสนใจ
เหมือนกับที่เราเคยไปสำรวจด้วยกันที่ทุ่งแสลงหลวงเมื่อประมาณเดือนเมษายน 2541 คุณจำได้หรือเปล่า? “
เป็นการสำรวจต่อจากคณะสำรวจนานาชาติโดยการนำของกรมป่าไม้เมื่อเดือนเมษายน 2540  ซึ่งมีพี่นพรัตน์  นาคสถิตย์ เป็นหัวหน้าทีมในการสำรวจ  ครั้งแรกไม่มีใครเคยนึกว่าถ้ำที่มีความยาวเป็นอันดับที่  ของประเทศไทยจะอยู่ที่นี่”  ผมพูดขึ้นต่อเพราะกลัวดีนจำไม่ได้
ใช่ ๆ ผมจำได้  ในการสำรวจครั้งแรกเราใช้ข้อมูลจากแผนที่ธรณีวิทยาบอกให้เรารู้ว่าพื้นที่ทางตะวันออกของทุ่งแสลงหลวงมีภูเขาหินปูนในยุคเพอร์เมียนกระจายอยู่ในพื้นที่ไม่มากนัก  จากการสำรวจครั้งนั้นพบถ้ำขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่วไปมีความยาวไม่ถึง  กิโลเมตร  จนกระทั่งการสำรวจ  วันสุดท้ายคณะสำรวจได้ย้ายพื้นที่ไปบริเวณหน่วยพิทักษ์ป่าที่อยู่ทางเหนือของพื้นที่ไม่มีใครเคยล่วงรู้มาก่อนว่าถ้ำที่สำคัญที่สุดในประเทศไทยจะอยู่ที่นี่
  “จากครั้งแรกที่เห็นผมคิดว่าถ้ำนี้มีความยาวไม่เกิน  500  เมตรหรือ  1000  เมตรเท่านั้นเพราะโถงน้ำใหญ่ซ่อนตัวอยู่ด้านล่างโถงหินถล่มที่พวกเรายืนอยู่  เมื่อทำการสำรวจพบว่าด้านล่างโถงถ้ำกว้างมากและยิ่งลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ตามทางน้ำสายหลัก  การสำรวจในปีแรกคณะสำรวจทำการสำรวจได้ระยะทางรวม  6,315.43  เมตรและลึกลงไปใต้ชั้นหิน  58.54  เมตร  เนื่องจากคณะสำรวจไม่มีเวลาพอจึงยุติการสำรวจไว้เพียงแค่นั้น”  ดีนพยายามนึกถึงการสำรวจเมื่อ  ปีที่แล้ว
แล้วตอนนี้ถ้ำนั้นสำรวจเสร็จหรือยังครับ”  แซก นักศึกษาฝึกงานอีกคนถามอย่างสนใจ
ถ้ำส่วนใหญ่ในโลกยังสำรวจไม่เสร็จหรอก นักสำรวจยังพบเส้นทางเชื่อมต่อกับเส้นทางอื่น ๆ ตลอดต้องใช้เวลาสำรวจและศึกษาหลายปี  ถ้ำนี้ก็เหมือนกันดีนอธิบายให้ฟัง
เราทำการสำรวจเพิ่มเติมอีกครั้งในปีถัดมา  ดีนกับผมได้เข้าทำการสำรวจต่อใช้เวลาประมาณ  วันเข้าไปจนสุดถ้ำบริเวณที่เป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ปลายถ้ำและมีน้ำผุดขึ้นมา  จากการสำรวจครั้งนี้ทำให้รู้ว่าถ้ำมีความยาวทั้งสิ้น  12.10  กิโลเมตรแต่พวกเราคิดว่ายังสำรวจไม่หมดเพราะยังคงมีทางแยกอื่น ๆ อีกที่ไม่มีเวลาเข้าไปดู  รวมทั้งหลืบบนเพดานด้านบนด้วย” 
ตอนนั้นเราตื่นเต้นกันมากเพราะว่าหลังจากการสำรวจครั้งแรกเรารู้ว่าถ้ำนี้จัดอยู่ในอันดับที่  ถึง  ของถ้ำที่ยาวที่สุดในประเทศไทย เมื่อการสำรวจสิ้นสุดในแต่ละวันข้อมูลจะถูกนำเข้าคอมพิวเตอร์เพื่อคำนวนและวาดแผนที่ถ้ำ ช่วงเข้ากิโลเมตรที่  พวกเราลุ้นกันว่าถ้ำจะขึ้นอันดับที่สองของประเทศได้หรือเปล่าเพราะอันดับสองในตอนนั้นคือถ้ำน้ำลางซึ่งมีความยาว  8 กิโลเมตรกว่าแต่ในที่สุดถ้ำแห่งนี้ก็ขึ้นอันดับที่สองจนได้  ถ้ำนี้แพ้แม่ละนาไปเพียง  500  เมตรเท่านั้น  แต่ถ้านับรวมความยาวเฉพาะตามโถงทางน้ำหลัก  ถ้ำนี้ยาวเป็นอันดับที่  ของประเทศไทย”  ดีนเล่าความรู้สึกด้วยดวงตาที่เป็นประกาย เหมือนเพิ่งผ่านมาเมื่อวาน
สิ่งหนึ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับพวกเราคือโถงถ้ำที่พวกเรากำลังสำรวจมีรูปลักษณะเป็นทางน้ำโค้งตะหวัด(Meander) ที่เราจะสามารถพบเห็นได้ตามที่ราบน้ำท่วมถึงของแม่น้ำสายใหญ่ ๆ เท่านั้น  นั่นเป็นสิ่งยืนยันว่าถ้ำมีการพัฒนาที่ยาวนานจากการที่มีทางน้ำขนาดใหญ่ไหลผ่านมาก่อน   ความเร็ว  ความแรงและการกัดเซาะของน้ำทำให้เกิดโถงถ้ำดังที่เราพบในปัจจุบัน  นอกจากนั้นยังพบสิ่งมีชีวิตในถ้ำที่เป็นชนิดพันธ์ใหม่หลายชนิด ดีนเล่าให้ฟังต่อ
ถ้ำยาวมาก ๆ ขนาดนั้นแล้วเข้าไปสำรวจกันยังไงครับเจ้าหน้าที่ที่นั่งฟังถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
ไม่เดินกันแย่หรือครับกว่าจะเดินเข้าไปและกลับออกมาไม่ต่ำกว่า  15  กิโลเมตรเชียวนะครับแซกถามขึ้นมาบ้าง
ใช่เราเข้าใจถูกแล้วละ  การสำรวจในแต่ละวันจะเสียเวลาอย่างน้อยวันละ  2-3  ชั่วโมงก่อนการสำรวจต่อจากเดิม  ทำให้เราสำรวจในแต่ละวันได้เพียงวันละ  กิโลเมตรเท่านั้น การทำงานจะเริ่มตั้งแต่ 8.00 นและออกจากถ้ำประมาณ  20.00  . พวกเราจึงตัดสินใจเข้าไปตั้งแคมป์สำรวจในถ้ำช่วงกิโลเมตรที่  8-9  เพื่อตัดปัญหาการเสียเวลาจากการเดินทางเข้าออก  อุปกรณ์การสำรวจ  เครื่องนอนสัมภาระและเสบียงทุกอย่างถูกจัดเข้าถุงกันน้ำให้พร้อมกับการว่ายฝ่ากระแสน้ำเข้าไป”  ผมอธิบายให้ฟัง 
คุณรู้หรือเปล่าการนอนในถ้ำครั้งนั้นเป็นการนอนในถ้ำครั้งแรกในชีวิตของผมเลย ทุก ๆ อย่างรอบตัวเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจ  ความมืดที่เราอยู่เมื่อดับไฟฉายขนาดที่คุณลองเอามือมาไว้ตรงหน้าคุณจะมองไม่เห็นอะไร  มันเป็นความมืดที่คุณไม่สามารถอธิบายได้  ครั้งนั้นผมรู้สึกว่าชีวิตเรียบง่ายมาก  ธรรมชาติเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่โดยเราแค่เป็นส่วนเล็ก ๆ ของถ้ำนี้  สิทธิของคนคนหนึ่งเทียบเท่ากับปลาถ้ำหรือแมลงที่อยู่บนผนังถ้ำตัวหนึ่งเท่านั้นเอง”  ผมพยายามอธิบายความรู้สึกและประสบการณ์ที่ผมได้รับให้เพื่อนร่วมทีมฟัง
 “ผมก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการนอนในถ้ำและการเดินถ้ำที่ลึก ๆ เลยเจ้าหน้าที่บางคนในทีมพูดขึ้นมาบ้าง
ไม่ต้องห่วงหรอก จากประสบการณ์ของผมคิดว่าในทุ่งใหญ่ฯ เราจะต้องพบถ้ำที่ยาว ๆ มาก ๆ แต่ตอนนี้เรายังหาทางเข้าไม่พบเท่านั้นเองดีนพูดเสริมขึ้นมา
ดีน  คุณมีประสบการณ์การสำรวจถ้ำมานานไหม ?” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งถามขึ้น
ผมสำรวจถ้ำมา 19  ปีแล้วเริ่มตั้งแต่ผมอายุ  13  ปีตั้งแต่ผมเป็นสมาชิกของชมรมถ้ำในเมืองที่ผมอยู่ที่อังกฤษ  และก็สำรวจมาตลอด
“ 19  ปี โอ้โฮ ! ผมเพิ่งเริ่มไม่ถึงปีเลย  แล้วคุณล่ะเจ้าหน้าที่หันมาถามทางผม
ผมสำรวจมาเกือบ  ปีแล้วผมตอบ
ช่วง  5-7  ปีที่แล้วเมืองไทยมีการสำรวจถ้ำอย่างนี้ด้วยหรือครับ”  อ๊อดถามขึ้นอย่างสงสัย
มีสิแต่ช่วงนั้นเรื่องถ้ำยังไม่ค่อยเป็นที่สนใจเท่าไหร่ การสำรวจก็ยังไม่ค่อยเป็นมาตราฐานและเป็นระบบเท่าไหร่  ช่วงที่ผมกำลังเรียนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เมื่อ  ปีที่แล้ว  ผมมีโอกาสช่วยงานอาจารย์ในภาควิชาภูมิศาสตร์  ถ้ำที่ผมสำรวจถ้ำแรกคือ  ถ้ำลอดที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อจัดทำแผนการอนุรักษ์  ตอนนั้นผมยังไม่รู้จักอุปกรณ์การสำรวจอย่างนี้หรอก  กล้องสำรวจแบบง่าย ๆ ที่ทำด้วยไม้ซึ่งถูกทำขึ้นโดยรุ่นพี่ในภาควิชาโดยใช้หลักการของกล้องธีโอโดไลท์ซึ่งเป็นกล้องสำรวจทางวิศวกรรมมาดัดแปลง  หลังจากงานนั้นผมก็ได้รับหน้าที่การสำรวจทำแผนที่ถ้ำอื่น ๆ   เช่น  ถ้ำหลวงนางนอน  ฯลฯ  อุปกรณ์อื่น ๆ ที่พวกเราใช้เข้าถ้ำใช้เพียงไฟฉายติดศีรษะคนละ  อัน  รองเท้าผ้าใบ  เทปวัดระยะ  กล้องสำรวจที่ทำจากไม้  และตะเกียงเจ้าพายุเท่านั้น  ผมไม่รู้จักกฏเกณฑ์ของนักสำรวจถ้ำ  มีความรู้เพียงแค่ถ้ำเกิดขึ้นได้อย่างไร  หินงอกหินย้อยไม่กี่ชนิดตามตำราและเอกสารที่สามารถหาได้ในขณะนั้นซึ่งมีน้อยมาก  คงเป็นโชคดีของผมที่ถ้ำที่พวกเราสำรวจเป็นถ้ำท่องเที่ยวที่มีคนนำทางมีความยาวไม่มากและไม่ยากเกินไปนักจึงกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย
หลังจากนั้นอีก  ปี  ผมได้มีโอกาสกลับมาสำรวจถ้ำในกิ่งอำเภอ.ปางมะผ้าอีกครั้งทำให้ผมรู้จักกับ  จอห์น  สปีส์  และครั้งนั้นเป็นการพบกันครั้งแรกของผมกับดีนด้วย แต่ผมก็ไม่ค่อยได้คุยกับดีนเท่าไหร่  เพราะดีนพูดภาษาไทยไม่ได้
และพี่ก็พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยแข็งแรงแซกพูดแทรกขึ้นมาทันที
น้องพวกนี้ชอบดักคออยู่เรื่อย ๆเลย  แต่ตอนนี้ค่อยแข็งแรงขึ้นมานิดนึงแล้วผมแก้ตัวและเล่าความทรงจำเก่า ๆ ให้ฟังต่อ
ผมคิดว่าผมโชคดีมากที่ได้มารู้จักกับคนที่เก่งเรื่องถ้ำในประเทศไทยทั้ง  คน  ถ้าจะเปรียบ  จอห์น  เป็นครูคนแรกที่ให้ประสบการณ์การสำรวจถ้ำกับผม  ดีนก็เหมือนกับเป็นครูคนที่สองและเพื่อนสนิทที่รักการสำรวจถ้ำเหมือนกัน  สำหรับดีนเรามาพบกันอีกครั้งที่กรุงเทพฯขณะที่เขาเป็นอาสาสมัครทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องถ้ำให้กับกรมป่าไม้  ช่วง  ปีที่ผ่านมาเราไปสำรวจด้วยกันหลายแห่งทำให้ผมเรียนรู้เรื่องถ้ำอย่างเป็นระบบ  ประสบการณ์ในการทำงานสำรวจถ้ำมีมากขึ้นเรื่อย ๆ
ครั้งแรกที่ผมเจอคุณ  และรู้ว่าคุณสนใจเข้าถ้ำแม่ละนา  สิ่งแรกที่ผมคิดคืออะไรรู้หรือเปล่าดีนถามขึ้นมา
คุณคงแปลกใจและกลัวว่าผมจะเป็นอันตรายใช่ไหม คงเหมือนกับที่ผมรู้สึกอยู่ตอนนี้กับผู้ร่วมทีมคนอื่น ๆ ผมตอบ
ใช่คุณเข้าใจถูกแล้ว  นักสำรวจถ้ำที่มีประสบการณ์ทุกคนรู้ดีว่า ในการสำรวจถ้ำใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีคนเหยียบย่างเข้าไปนั้นอันตรายมาก  ประสบการณ์จะเป็นสิ่งที่ทำให้นักสำรวจถ้ำรับรู้ถึงอันตรายนั้น ๆ ถ้ำแม่ละนาเป็นถ้ำที่อันตราย  บางช่วงเส้นทางซับซ้อนและต้องว่ายน้ำ ถ้าได้คนที่มีประสบการณ์นำทางจะไม่มีปัญหาแต่สำหรับคุณช่วงนั้นคุณยังไม่รู้จักถ้ำดีพอ การสำรวจหรือเข้าไปเที่ยวก็ตาม มีโอกาสเกิดอันตรายได้ง่ายมาก”  ดีนพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง