1. ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงกว่าปรกติ
บริเวณที่มีคาร์บอนไดออกไซด์สูงกว่าปรกติเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุดสำหรับการสำรวจถ้ำ บางพื้นที่จะเรียกว่า “ถ้ำสูญญากาศ” คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในบางบริเวณของถ้ำที่มีสัดส่วนของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศสูงกว่าปรกติ ส่วนใหญ่จะส่งผลให้ก๊าซออกซิเจนในอากาศลดลงด้วย เมื่อจุดไฟแช็คจะไม่ติดไฟเพราะออกซิเจนในอากาศไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดการเผาไหม้
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกิดขึ้นได้อย่างไร
ถ้ำในประเทศไทยส่วนใหญ่จะพบปัจจัยของการเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในถ้ำ 5 ปัจจัยได้แก่
1. การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงและวัสดุที่ติดไฟเช่น เทียน ตะเกียง คบไฟ
2. การย่อยสลายของซากพืชซากสัตว์ที่ทับถมในถ้ำโดยแบคทีเรีย
3. การหายใจของสิ่งมีชีวิต เช่น คน หรือสัตว์ที่อยู่ในถ้ำ
4. การปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากดินและหิน
5. การปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากน้ำในถ้ำในกระบวนการตกตะกอนของแคลเซียมคาร์บอเนต
เมื่อก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นประกอบกับบางบริเวณไม่มีการไหลเวียนของอากาศทำให้มีการสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้นเรื่อย ๆ จากการสำรวจถ้ำหลายแห่งในประเทศไทยพบว่าปริมาณของคาร์บอนไดออกไซด์มีระดับตั้งแต่ปรกติ คือประมาณ 0.034 เปอร์เซ็นต์ของอากาศจนถึงระดับที่มากกว่าปรกติตั้งแต่ 5 % ขึ้นไป ซึ่งเป็นระดับที่อันตรายต่อร่างกายของคน
การสะสมตัวของ คาร์บอนไดออกไซด์เกิดขึ้นในบริเวณที่มีความเหมาะสม เช่น โถงถ้ำมีขนาดเล็ก ทางเข้าออกมีทางเดียว ถ้ำที่เป็นเหวลึกหรือชัน ไม่มีการไหลเวียนของอากาศ มีซากพืชซากสัตว์ทับถมและย่อยสลายอยู่ภายใน ตามปรกติชั้นของคาร์บอนไดออกไซด์มักจะสะสมตัวอย่างด้านล่างต่ำกว่าออกซิเจน เพราะมวลโมเลกุลที่หนักกว่าทำให้ยิ่งลึกลงไปยิ่งมีส่วนผสมของคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้นเรื่อย ๆ
การเคลื่อนไหวของคาร์บอนไดออกไซด์จะมีการเคลื่อนไหวตามความแตกต่างของความกดอากาศระหว่างภายในกับภายนอกถ้ำ ในกรณีของโถงถ้ำที่มีทางเข้าออกทางเดียว หากภายนอกถ้ำมีอุณหภูมิสูงกว่าภายในทำให้อากาศภายในถ้ำที่มีความหนาแน่นมากกว่าพาคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาบริเวณปากถ้ำ และหากภายนอกถ้ำมีอุณหภูมิต่ำกว่าในถ้ำจะทำให้ความกดอากาศสูงจากนอกถ้ำดันคาร์บอนไดออกไซด์ไหลกลับเข้าไปด้านใน
คาร์บอนไดออกไซด์มีผลอย่างไรกับร่างกายของคน
ผลของคาร์บอนไดออกไซด์จะมีผลต่อระบบการหายใจและแลกเปลี่ยนก๊าซระหว่างคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดกับออกซิเจนที่เราสูดหายใจเข้าไปยังปอด ทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดหมุนเวียนขึ้นไปยังสมอง และสมองจะอยู่ในสภาพขาดออกซิเจน ในเบื้องต้นหากคนเราอยู่ในสภาพที่มีคาร์บอนไดออกไซด์สูงมาก ๆ จะทำให้ เกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงเริ่มจากท้ายทอยอ้อมมาถึงขมับ สมองมึนงง หมดแรงหมดสติและถึงแก่ชีวิตในที่สุด
ตาราง 4 แสดงระดับของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์
ระดับของคาร์บอนไดออกไซด์ | อาการที่ปรากฏต่อร่างกาย |
0.034% | ไม่มีอาการใด ๆ เกิดขึ้น อยู่ในสภาวะปรกติ |
0.5 % | ปอดจะทำงานเพิ่มขึ้นประมาณ 5 % |
2.0 % | ปอดจะทำงานเพิ่มขึ้นประมาณ 50 % เกิดอาการปวดศีรษะเมื่ออยู่ในถ้ำนานหลายชั่วโมง |
3.0 % | ปอดทำงานเพิ่มขึ้นประมาณ 100 % มีอาการเหนื่อยหอบหลังจากออกแรงและมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง |
> 5 % | อาการหอบมีมากขึ้นและรุนแรง สมองมึนงง ปวดศีรษะอย่างรุนแรงหลังจากอยู่ในถ้ำไม่กี่นาทีและเสียชีวิตในเวลาไม่นาน |
ที่มา…………
การทดสอบระดับของคาร์บอนไดออกไซด์
การทดสอบระดับของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทำได้ดังนี้
1) การทดสอบโดยตรง วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือการใช้อุปกรณ์อิเลคทรอนิคที่เรียกว่า “CO2 Meter” ใช้พกติดตัวทุกครั้งที่ทำการสำรวจถ้ำ อุปกรณ์ชนิดนี้จะสามารถส่งสียงเตือนทันทีที่ระดับของคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อนักสำรวจ (ก่อนใช้งานต้องมีการ setup เครื่องเพื่อตั้งค่า CO2 ในอากาศก่อน)
2) การทดสอบโดยทางอ้อมด้วยวิธีตรวจเช็คระดับสัดส่วนของก๊าซออกซิเจน การทดสอบเบื้องต้นโดยใช้ ไม้ขีด เทียน ไฟแช็คและตะเกียงคาร์ไบด์ที่ใช้ก๊าซ อะเซทิลีน การทดสอบเหล่านี้ไม่สามารถบอกระดับของคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ แต่ใช้หลักการแปรผันของสัดส่วนอากาศระหว่างคาร์บอนไดออกไซด์และออกซิเจน หากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีเพิ่มขึ้นจะทำให้สัดส่วนของออกซิเจนในอากาศลดลง เมื่อออกซิเจนในอากาศมีน้อยจะทำให้ไม่เกิดการเผาไหม้ ซึ่งการทดสอบในแต่ละชนิดจะมีสัดส่วนของการเผาไหม้จากออกซิเจนแตกต่างกัน ตามปรกติอุปกรณ์เบื้องต้นที่นิยมที่สุดในการตรวจสอบก็คือ ไฟแช็ค เพราะไฟแช็คจะติดไฟได้ในระดับของออกซิเจนอย่างน้อยที่สุดประมาณ 14-13 % คาร์บอนไดออกไซด์จะอยู่ที่ประมาณ 1.9 % ของสัดส่วนอากาศ ในบางกรณีค่าของคาร์บอนไดออกไซด์จะแปรผันมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมในถ้ำ หากพบกรณีนี้จะต้องรีบออกจากถ้ำโดยเร็วที่สุด
(เราจะรู้ได้อย่างไรว่าในถ้ำมีระดับคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นอันตรายต่อคน ในกรณีที่เราจุดไฟแช็คเช็ค เราจะสังเกตเห็นเปลวไฟของไฟแช็คมีการขาดช่วงอย่างเห็นได้ชัด เปลวไฟจะลอยเผาไหม้อยู่ด้านบน เปลวไฟจะขาดช่วงประมาณ 15 เซนติเมตร เมื่อลดไฟแช็คลงไฟจะลอยและดับลง นั่นแสดงถึงระดับชั้นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นอันตรายต่อนักสำรวจ ยิ่งเดินเข้าไปลึกเรื่อย ๆ ชั้นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ )
3) การทดสอบโดยใช้อาการผิดปรกติของร่างกายเป็นเครื่องวัด เช่น ความผิดปรกติของการหายใจ อาการปวดศีรษะ การทดสอบชนิดนี้จะต้องเคยมีประสบการณ์ในถ้ำที่มีระดับคาร์บอนไดออกไซด์สูงมาก่อนจึงสามารถประเมินได้
2. อุณหภูมิของร่างกายลดต่ำกว่าปรกติ
ความเย็นในถ้ำถือว่าเป็นอันตรายรองลงมา ตามปรกติน้ำในถ้ำจะมีความเย็นมากกว่าน้ำที่อยู่ภายนอกถ้ำ ถ้ำบางที่ในฤดูร้อนมีอุณหภูมิน้ำประมาณ 16-18 องศาเซลเซียสบางช่วงมีลมแรงมาก การแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานานทำให้เสี่ยงต่ออาการไฮโปเทอร์เมีย(Hypothermia) หรือ อาการของคนที่อุณหภูมิในร่างกายต่ำเกินไปคือ ตัวสั่น เดินช้า ปล่อยของหลุดจากมือ กล้ามเนื้อไม่ค่อยเคลื่อนไหว พูดไม่สะดวก มองเห็นไม่ชัดเจน จิตใจเริ่มไม่อยู่กับร่องกับรอย ถ้ำอุณหภูมิในร่างกายลดลง 5-6 องศาจะทำให้หมดสติและเสียชีวิตได้ ดังนั้นการเตรียมชุดเสื้อผ้าและอุปกรณ์จึงมีความจำเป็นต้องเป็นชุดที่สามารถรักษาอุณหภูมิของร่างกายได้ในระดับหนึ่ง
3. น้ำท่วมอย่างฉับพลัน
ถ้ำบางถ้ำที่มีพื้นที่ลุ่มน้ำขนาดใหญ่ มีปริมาณน้ำมาก และมีลำธารไหลลอดมักพบปัญหาน้ำท่วมถ้ำในฤดูฝน การสำรวจถ้ำประเภทนี้จำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงการสำรวจในช่วงเวลาดังกล่าว เพราะจะเกิดอันตรายจากน้ำป่า และน้ำท่วมถ้ำ เราจะทราบได้อย่างไรว่ามีน้ำท่วมถ้ำ การสำรวจจะอาศัยการสังเกตุตามผนังถ้ำหรือเพดานถ้ำหากมีโคลนเคลือบอยู่หรือมีเศษไม้ติดอยู่ แสดงว่าในฤดูฝนช่วงที่มีฝนตกน้ำในลำห้วยมีโอกาสท่วมจนเต็มถ้ำได้
4. การหลงทางภายในถ้ำ
การสำรวจถ้ำที่มีความยากและซับซ้อนโถงถ้ำมีขนาดใหญ่และมีกองหินถล่ม มีโอกาสเกิดการหลงทางได้ง่าย ดังนั้นต้องมีการทำเครื่องหมายนำทาง เช่นการทิ้งสัมภาระไว้บริเวณทางแยกก่อนเข้าไปสำรวจเพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงว่าจะกลับมาอีกครั้งหากมีการหลงทาง นักสำรวจร่วมคณะสามารถตามเข้าไปช่วยเหลือได้ หรือใช้วิธีการทำเทปนำทางวางไว้เป็นแนวเดินสำหรับเดินกลับออกมา
5. อุปกรณ์สำรวจมีปัญหา เช่น ไฟฉายดับ ไม่มีหลอดไฟสำรอง หรือถ่านไฟฉายหมด
การเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมและเพียงพอสำหรับการสำรวจ โดยการกำหนดเวลา ชั่วโมงทำงานที่จะอยู่ในถ้ำพร้อมกับเตรียมอุปกรณ์เช่น ไฟฉายสำรองอีก 2 ชุด และแบตเตอรี่รี่สำรองดวงเทียนไฟฉายไว้อีกเท่าหนึ่งเสมอ หากเกิดกรณีต้องใช้เวลาในการเดินทางกลับมากกว่าปรกติหรือหลงทาง
6. อันตรายจากอุบัติเหตุ เช่น การพลัดตกจากที่สูง การลื่นล้มแขน ขาหัก หินร่วงลงมาจากเพดานถ้ำ และหินถล่ม ฯลฯ
อันตรายจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในถ้ำ เป็นเรื่องที่ยุ่งยากสำหรับการนำคนเจ็บออกมา แต่สามารถลดให้เกิดอาการบาดเจ็บน้อยที่สุดได้โดยการสวมอุปกรณ์ป้องกัน เช่น หมวกนิรภัย ถุงมือ สนับเข่า สนับแข้ง รองเท้าบู๊ตที่แข็งแรง สามารถลดอาการบาดเจ็บได้ในระดับหนึ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ทุกความคิดเห็นของท่านจะถูกนำไปใช้ในการปรับปรุง web ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น