ประสบการณ์ : ความรู้ที่ไม่มีในตำรา
“สำหรับนักสำรวจถ้ำพวกเราทุกคนรู้ว่าอันตรายนั้นอยู่รอบตัว สิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือ อากาศที่มีเปอร์เซ็นคาร์บอนไดออกไซด์สูงที่เกิดจาก เศษซากใบไม้กิ่งไม้เน่าเปื่อยและผสมกับโคลนที่ถูกกระแสน้ำพัดพาเข้าไปหรือมูลค้างคาวที่ทับถมกันอยู่ส่งกลิ่นฉุนแต่กลับส่งผลดีต่อถ้ำเนื่องจากมันคือจุดริ่มต้นของห่วงโซ่อาหารภายในถ้ำ แบคทีเรียเริ่มย่อยสลายและให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา เมื่อมันสะสมตัวมาก ๆ เข้าประกอบกับอากาศภายในถ้ำมีการถ่ายเทและเปลี่ยนแปลงน้อย ตามปรกติในบรรยากาศปรกติเราจะพบว่าระดับเปอร์เซ็นของคาร์บอนไดออกไซด์มีอยู่ประมาณ 0.003 % แต่เมื่ออยู่ในถ้ำเราจะพบในระดับปรกติและในระดับที่มากกว่าปรกติ เนื่องจากผลผลิตของการย่อยสลายของซากพืชซากสัตว์ และจากกระบวนการตกตะกอนอีกครั้งของแคลเซียมคาร์บอเนต ระดับอันตรายของคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นอันตรายต่อคนจะอยู่ที่ประมาณ 5.5% อาการหายใจติดขัดสมองจะมึนงงและหมดสติหลังจากนั้นจะเสียชีวิตภายในไม่กี่นาที การตรวจสอบอากาศที่ปลอดภัยที่สุด เราจะใช้อุปกรณ์อิเลคทรอนิคสำหรับบอกระดับคาร์บอนไดออกไซด์มันจะส่งเสียงเตือนเมื่อถึงระดับอันตรายแต่อุปกรณ์ชิ้นนี้ราคาแพงมาก การตรวจสอบอีกอย่างก็คือการใช้อาการผิดปรกติของร่างกายเป็นตัววัด แต่คุณจะต้องเคยมีประสบการณ์จึงสามารถบอกได้ บางครั้งการหายใจติดขัดก็ไม่ได้เกิดขึ้นจากอากาศที่มีคาร์บอนไดออกไซด์สูงอย่างเดียว แต่ยังมาจากออกซิเจนน้อยด้วย
การคาดเดาถ้ำที่มีอันตรายจากอากาศเสียบางครั้งสามารถคาดเดาได้ แต่ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในถ้ำมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจากความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างภายในกับภายนอกถ้ำเมื่อใดที่ถ้ำมีทางเข้าออกทางเดียว อุณหภูมิภายในเย็นกว่าภายนอก อากาศในถ้ำจะไหลออกมาบริเวณปากถ้ำและจะนำเอาคาร์บอนไดออกไซด์มาด้วย ในทางกลับกันหากอากาศภายนอกเย็นกว่าอากาศจะไหลย้อนกลับเข้าไปข้างในหอบเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปด้วยจนอยู่ในระดับสมดุลย์ นอกจากนี้มวลโมเลกุลของคาร์บอนไดออกไซด์หนักกว่าออกซิเจน ดังนั้นภายในถ้ำชั้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะทิ้งตัวด้านล่างของออกซิเจน ยิ่งลึกเข้าไประดับชั้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในถ้ำใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีการสำรวจมากก่อนหากถ้ำที่ไม่มีการไหลเวียนของอากาศแต่มีชั้นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่บนพื้นถ้ำเราจะพบว่าการเดินเข้าไปจะไม่มีปัญหาเรื่องอากาศ แต่เมื่อเดินกลับออกมาจะพบปัญหาอากาศไม่พอหายใจ เนื่องจากการเดินเข้าไปรบกวนสมดุลย์ของชั้นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกิดการฟุ้งกระจายขึ้นมา
นักสำรวจถ้ำทุกคนจะเรียนรู้ถึงวิธีการสังเกตุการไหลเวียนของอากาศและวิธีการในการตรวจสอบอากาศ และพร้อมที่จะกลับออกมาเมื่อถึงเกิดปัญหาหรือถึงขีดจำกัดของทีม” ดีนอธิบายเสร็จทุกคนดูนั่งนิ่งได้แต่มองหน้ากันอาการเหมือนช๊อคกับเรื่องที่เพิ่งได้ฟังไป
“เหมือนถ้ำที่เราเพิ่งไปสำรวจในวันนี้ไง แต่พวกเราโชคดีที่ระดับอากาศยังไม่อันตรายเท่าไหร่ ไม่มีปัญหา แต่ไม่ต้องห่วงหรอก เพราะเราพบได้ไม่บ่อยนัก” ดีนพูดปลอบใจ
“ความเย็นในถ้ำถือว่าเป็นอันตรายรองลงมา ตามปรกติน้ำในถ้ำจะมีความเย็นมากกว่าน้ำที่อยู่ภายนอกถ้ำ พวกเราเคยเข้าสำรวจถ้ำน้ำที่ อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติลำคลองงู จังหวัดกาญจนบุรีในช่วงฤดูร้อนช่วงเดือนเมษายนซึ่งเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดของปี เป็นถ้ำที่มีน้ำตลอดและน้ำไหลแรงมากพวกเราต้องว่ายทวนน้ำเข้าไปในถ้ำ จุดพักของพวกเราคือการเอามือเกาะผนังถ้ำและลอยคอในน้ำเท่านั้นเราแช่น้ำอยู่ในถ้ำประมาณ 5 ชั่วโมงกว่าจะทำการสำรวจเสร็จสิ้น ช่วงนั้นน้ำในลำห้วยภายในถ้ำมีอุณหภูมิอยู่ประมาณ 16-18 องศาเซลเซียสบางช่วงมีลมแรงมาก การแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานานทำให้เสี่ยงต่ออาการไฮโปเทอร์เมีย(Hypothermia) หรือ อาการของคนที่อุณหภูมิในร่างกายต่ำเกินไปคือ ตัวสั่น เดินช้า ปล่อยของหลุดจากมือกล้ามเนื้อไม่ค่อยเคลื่อนไหว พูดไม่สะดวก มองเห็นไม่ชัดเจน จิตใจเริ่มไม่อยู่กับร่องกับรอย ถ้ำอุณหภูมิในร่างกายลดลง 5-6 องศาจะทำให้หมดสติและเสียชีวิตได้ ดังนั้นการเตรียมชุดเสื้อผ้าและอุปกรณ์จึงมีความจำเป็นต้องเป็นชุดที่สามารถรักษาอุณหภูมิของร่างกายได้ในระดับหนึ่ง” ผมพูดเสริมขึ้นมาบ้าง
ในการสำรวจครั้งนั้นมีประสบการณ์อย่างหนึ่งที่ลืมไม่ลงจริง ๆ การเข้าสำรวจถ้ำเสาหินในลำคลองงูเมื่อ 2 ปีที่แล้วหลังจากที่เราว่ายน้ำและเดินเลาะลำห้วยเข้าไปเกือบถึงเสาหินใหญ่ ทันใดนั้นเราก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังจากด้านบนสักอึดใจน้ำในลำห้วยแตกกระจาย ละอองน้ำกระเซ็นใส่พวกเราพร้อม ๆ กับเสียงเหมือนหินร่วงกราวใหญ่ ก้อนหินขนาดครึ่งเมตรหล่นจากเพดานถ้ำลงไปในลำห้วยห่างจากพวกเราไปประมาณ 1.5 เมตร พวกเราได้แต่นิ่งเพราะช็อคกันสถาณะการณ์ในขณะนั้นและหันมามองหน้ากันแต่ก็โชคดีที่คณะสำรวจไม่ได้เป็นอะไรกันมาก
“ใช่มันเป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงเลยจริง ๆ ใครพบเหตุการณ์นี้นับว่าโชคดีมาก เพราะมันจะเกิดขึ้นไม่บ่อย อาจเป็นหนึ่งต่อพันหรือหนึ่งต่อหมื่นเลยก็ว่าได้ แต่ขออย่างเดียวอย่าหล่นใส่กลางวงเป็นใช้ได้” ดีนเห็นด้วยและพูดอย่างติดตลก
“แล้วอันตรายอย่างอื่นล่ะครับมีอีกไหมครับ” อ๊อดถามอย่างสนใจ
“มีสิเดียวผมกับดีนจะค่อย ๆ เล่าให้ฟัง” พูดจบผมก็หันไปถามดีน
“คุณจำตอนที่เราเข้าสำรวจถ้ำที่สระบุรีเมื่อ 9 เดือนที่แล้วได้ไหม” ดีนนึกอยู่สักครู่ก็พูดออกมา
“พวกเรารู้จักถ้ำที่มีลำห้วยอยู่ข้างในไหม ถ้ำหลาย ๆ แห่งในไทยมีลำห้วยอยู่ข้างในและไหลลอดถ้ำบางถ้ำมีน้ำตลอดปีแต่บางถ้ำมีน้ำในฤดูฝนเท่านั้นเราเรียกถ้ำเหล่านี้ว่า ”ถ้ำน้ำ(Stream Cave)” ถ้ำเหล่านี้จะปิดตัวเองโดยอัตโนมัติในฤดูฝน การเข้าไปสำรวจจะต้องสังเกตตามผนังถ้ำว่ามีโคลนหรือเศษไม้อยู่หรือไม่ เหล่านักสำรวจถ้ำจะรู้ดีและหลีกเลี่ยงการสำรวจถ้ำน้ำในฤดูน้ำหลาก บางถ้ำที่มีขนาดลุ่มน้ำใหญ่เวลาน้ำป่าไหลบ่ามาจะมีพลังมหาศาลสามารถพัดท่อนซุงขนาดใหญ่ให้ไปติดอยู่บนเพดานถ้ำได้เลยทีเดียว เหมือนถ้ำนกนางแอ่นอุทยานแห่งชาติลำคลองงู ในจังหวัดกาญจนบุรี พวกเราเคยทำเครื่องหมายเพื่อดูระดับน้ำคร่าว ๆ ที่ท่วมในถ้ำในช่วงปีถัดไปเราพบว่าน้ำในถ้ำมีระดับสูงมาก พวกเราคิดว่าในคาร์สตวินโดว์ที่ 4 (Karst Window) จะต้องกลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่โดยทันที
ประสบการณ์ที่พวกเราเคยพบคือการเข้าสำรวจถ้ำลุมพินีสวนหินจังหวัดสระบุรี ดีนพบความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในลำห้วยภายในถ้ำ น้ำกลายเป็นสีน้ำตาลเข้มขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับมีเศษกิ่งไม้ไหลมากับน้ำทำให้เราคาดเดาได้ว่าน่าจะมีฝนตกภายนอกถ้ำ จุดที่พวกเราอยู่ในขณะนั้นเป็นช่องทางที่แคบ ๆ ประมาณเมตรครึ่งและมีความสูงเพียงหนึ่งเมตร ที่สำคัญที่สุดตามผนังและเพดานถ้ำมีเศษไม้และโคลนติดอยู่ ทำให้พวกเรารู้ดีว่า ระดับน้ำสูงสุดของจุดนี้คือมิดเพดานถ้ำซึ่งอันตรายมาก ดีนเตือนพวกเราให้ระวังตัว
จากจุดที่เราอยู่ห่างจากปากถ้ำเกือบ 1 กิโลเมตร และมีหลายจุดที่ไม่สามารถเดินเท้าได้ จะต้องปีนขึ้นไปตามก้อนหินซึ่งถ้าออกจากถ้ำคงจะไม่ทันแน่นอน สัญชาตญาณบอกกับเราว่าให้รีบไปจากจุดนี้และจะต้องหาที่สูงที่น้ำจะท่วมไม่ถึงเพื่อหลบภัย
ขณะที่คิดและวิ่งมองหาที่ปลอดภัย เราได้ยินเสียงคล้ายมีคนมารัวกลองในถ้ำ มันค่อย ๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น ๆ และคำรามก้องเหมือนฟ้าร้อง
“แล้วทุกคนทำอย่างไรครับ” แซกถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งในทันที น่ะซิ”
โดยปรกติผมจะคุยกับดีนด้วยภาษาไทย เพราะดีนมีภาษาไทยที่แข็งแรงมากแต่ในตอนนั้นดีนส่งภาษาอังกฤษกับผมและเพื่อนอีกคนในทีมโดยไม่ต้องแปลเป็นไทยว่า
“Come here now”
เรามองตามขึ้นไปแล้วได้ข้อสรุปเดียวกัน นั่นคือที่มั่นของทีมในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้
บริเวณนี้เป็นที่กว้างพอควรและมีที่นั่งพักในระดับสูงพอที่ทุกคนจะนั่งได้ พวกเราปีนขึ้นไปและอยู่ที่นั่นไม่ถึง 5 นาทีระดับน้ำสูงขึ้นอย่างทันทีทันใด ฝนตกที่อาจจะดูไม่รุนแรงนักที่ข้างนอกถ้ำแต่จะส่งผลรุนแรงต่อลำน้ำในถ้ำ เหมือนการเอาน้ำในถ้วยไปกรอกใส่ในหลอดกาแฟ ทั้งระดับน้ำและความเร็วของน้ำที่เพิ่มเป็นทวีคุณ เมื่อลำน้ำถูกบีบเข้าสู่ที่แคบ ๆ
น้ำตกเดิมที่เราเห็นตอนนี้หายไปแล้วกลายเป็นลำน้ำขนาดใหญ่สีน้ำตาลเข้มที่โกรธเกรี้ยวพัดหอบเอาเศษไม้ดินทรายเข้ามา พวกเราทำได้อย่างเดียวคือ นั่งรอโดยเราต้องปิดไฟทุกดวงเพื่อเก็บพลังงานไว้ใช้ยามจำเป็นและภาวนาให้ฝนที่ตกข้างนอกหยุดตก
ความมืด ความชื้น ความหนาวเย็น และความหิวมาเยือนพวกเราพร้อม ๆ กัน ห้าชั่วโมงผ่านไปตั้งแต่ 5 โมงเย็นจน 4 ทุ่ม สายน้ำที่บ้าคลั่งค่อย ๆ สงบลงเหลือทิ้งไว้แต่เศษไม้และดินโคลนสีแดงเต็มพื้นและผนังถ้ำ” ผมพยายามเล่าเหตุการณ์ระทึกใจครั้งนั้นให้ทุกคนฟัง
“การลื่นล้มบาดเจ็บหรือการเกิดอุบัติเหตุภายในถ้ำเป็นสิ่งที่นักสำรวจถ้ำพยายามหลีกเลี่ยง คงไม่ใช่สิ่งที่สบายหากต้องนำคนเจ็บที่อยู่ในถ้ำลึกออกมา ต้องว่ายน้ำ นำคนเจ็บขึ้นจากเหว ฯลฯ แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สามารถควบคุมให้เกิดน้อยที่สุดได้ โดยการระมัดระวัง การใส่อุปกรณ์ป้องกัน การประเมินความสามารถของตนเองและทีมสำรวจว่าสามารถไปได้มากน้อยขนาดไหนหากทีมไม่พร้อมจะไม่เสี่ยงโดยเด็ดขาด ทุกคนจะกลับออกมาเตรียมตัว ฝึกหัด เตรียมอุปกรณ์และแผนสำหรับการเข้าสำรวจในครั้งต่อไป “
“แล้วในถ้ำมีสัตว์มีพิษหรือเปล่าครับ” เจ้าหน้าที่ถามขึ้นบ้าง
“ตามปรกติสัตว์มีพิษจะไม่ค่อยพบภายในถ้ำลึก ๆ เพราะสัตว์เหล่านั้นไม่สามารถอยู่ในที่ที่มืดสนิทได้ ไม่มีอาหาร ไม่มีแสงแดด แต่จะพบงูบางชนิดที่สามารถอยู่ในถ้ำลึก ๆ ได้ เป็นงูที่หากินในถ้ำจริง ๆ กินค้างคาว เช่น งูกาบหมากหางนิล(Cave dwelling snake) แต่งูประเภทนี้ไม่สามารถกัดคนได้ ส่วนงูชนิดอื่น ๆ จะอาศัยอยู่ในบริเวณปากถ้ำ และบริเวณที่พอมีแสงสว่างส่องถึง สัตว์จำพวกงูมักชอบที่เย็นและอยู่ตามซอกหิน ดังนั้นก่อนที่จะเดิน มุด หรือคลานเข้าถ้ำจะต้องมีการตรวจสอบบริเวณที่จะเข้าไปให้เรียบร้อยก่อน” ผมอธิบายให้ฟัง
“แล้วเรื่องการหลงทางในถ้ำล่ะครับ” อ๊อดถามขึ้นบ้าง
“การหลงทางในถ้ำ ดูเหมือนจะเป็นอันตรายที่นักสำรวจถ้ำไม่กลัวเท่าใดนัก สำหรับนักสำรวจถ้ำที่มีประสบการณ์ เขาจะมีความสามารถจากประสบการณ์บางอย่างในการจดจำเส้นทาง พวกเขาจะแม่นยำมากเรื่องทิศทางผมคิดว่าช่วงที่เขาเข้าไปคงจะจิตนาการเส้นทางที่เดินเป็นแผนที่คร่าว ๆ อยู่ในสมอง ถ้ายิ่งได้ใช้เทคนิคการทำแผนที่ถ้ำด้วย เข็มทิศ เทปวัดระยะ ประกอบกับการสเกตและบันทึกคร่าว ๆ ของเส้นทางภายในถ้ำ เราจะรู้เส้นทางทั้งหมดของถ้ำในทันที แต่ก็มีบางครั้งที่เจอเส้นทางที่ยากและถ้ำยาวมาก ๆ ก็ทำเครื่องหมายไว้บนเส้นทาง สาเหตุหนึ่งที่จะทำให้เกิดการหลงทางในถ้ำได้ก็คือ อุปกรณ์มีปัญหาแต่เราสามารถควบคุมให้เกิดขึ้นน้อยที่สุดได้ การเตรียมอุปกรณ์เช่นไฟฉายจะมีสำรองไว้อย่างน้อย 3 ชุด อุปกรณ์ทุกชิ้นก่อนเข้าสำรวจและหลังจากสำรวจเสร็จแล้ว จะต้องทำการตรวจเช็คสภาพของอุปกรณ์ ทำความสะอาด และซ่อมบำรุงพร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา” ผมอธิบายให้ฟัง
“ถ้าอย่างนั้นการเที่ยวถ้ำหรือการสำรวจในประเทศไทยในปัจจุบันนี้จะต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษกับการหลงทางภายในถ้ำ และการเข้าถ้ำทุกครั้งจะต้องมีคนนำทาง และอุปกรณ์ต้องพร้อมใช่ไหมครับ” แซกถามพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างเหมือนมองเห็นสัจธรรมของชีวิต
“ก็คงต้องเป็นอย่างที่คุณเข้าใจนั่นแหละ แต่ในอนาคตก็ไม่แน่ถ้าคุณสามารถพัฒนาตัวเองและมีประสบการณ์ที่มากขึ้นพอที่จะออกสำรวจถ้ำเองได้ แต่ตอนนี้คงต้องอาศัยคนที่มีประสบการณ์เป็นคนนำและค่อย ๆ เรียนรู้กันไป ถ้าทำได้อย่างนี้คุณจะเรียนรู้ได้เร็วขึ้น ถูกต้องและปลอดภัยกับชีวิตของตนเอง” ผมสรุปให้ฟัง
“บางครั้งนักสำรวจถ้ำนำเอาการสำรวจถ้ำมาผนวกเข้ากับกีฬาดำน้ำ ทำให้สามารถท่องเข้าไปยังอาณาจักรที่ลึกเข้าไปนั่นคือการสำรวจถ้ำใต้น้ำ ถือว่าเป็นศาสตร์ที่อันตรายที่สุด หลาย ๆ ถ้ำที่เราสำรวจจะไปสุดที่แอ่งน้ำ ( Sump ) น้ำทั้งหมดจะมุดหายลงไปในอุโมงค์ที่มีน้ำเต็ม หรือถ้ำที่อยู่ตามเกาะในทะเล ดังนั้นการจะเข้าไปสำรวจจะต้องมีการใช้อุปกรณ์พิเศษช่วย ผู้ที่เป็นนักสำรวจถ้ำใต้น้ำที่เก่งต้องมีประสบการณ์การสำรวจถ้ำมากประกอบกับมีทักษะการดำน้ำที่เชี่ยวชาญจึงสามารถท่องไปในโลกใต้ดินและใต้น้ำได้ดี การสำรวจถ้ำใต้น้ำเป็นการสำรวจที่ยากเพราะต้องพบกับตะกอนโคลนที่อยู่ตามพื้นถ้ำที่พร้อมจะฟุ้งกระจายได้ตลอดเวลา ช่องทางที่แคบและกระแสน้ำที่รุนแรงที่อัดผ่านช่องเล็ก ๆ เวลาในการสำรวจจะถูกจำกัดโดยออกซิเจนในถัง หินตามผนัง เพดานถ้ำสามารถทำให้เกิดความเสียหายกับอุปกรณ์ได้ตลอดเวลา” ดีนอธิบายเพิ่มเติมให้กับทุก ๆ ฟัง
การสำรวจถ้ำทุกครั้งของนักสำรวจถ้ำทั่วทุกมุมโลกจะยึดถือในกฏเกณฑ์การสำรวจเดียวกันเพื่อป้องกันอันตรายจากการท่องเที่ยวหรือการสำรวจถ้ำไม่ว่าจะเป็นนักสำรวจถ้ำมืออาชีพ มือสมัครเล่น หรือนักท่องเที่ยว
1. การสำรวจถ้ำทุกครั้งจะต้องสวมหมวกนิรภัยตลอดเวลา
2. อุปกรณ์ให้แสงสว่างจะต้องมีอย่างน้อย 3 ชุด ได้แก่ ไฟหลัก ไฟสำรองและไฟฉุกเฉิน ต้องเตรียมแบตเตอรี่ หลอดไฟสำรองให้เพียงพอและเผื่อ อย่างน้อย 1 เท่าเสมอ
3. การสำรวจถ้ำจะต้องเข้าสำรวจอย่างน้อย 4 คน ถ้าคนใดคนหนึ่งไม่พร้อมจะต้องกลับออกมาทั้งหมด มิฉะนั้นจะเป็นภาระกับเพื่อนร่วมทีมทันที
4. การเข้าถ้ำทุกครั้งจะต้องบอกกับเพื่อนหรือคนรู้จักที่แน่ใจว่าเมื่อคณะสำรวจยังไม่กลับมาตามกำหนด เขาจะต้องหาคนตามไปช่วยเหลือได้ ต้องแจ้งถึงถ้ำที่เข้าสำรวจ ใช้เวลาสำรวจนานเท่าใด ที่สำคัญที่สุดกลับออกมาเมื่อใด
5. นักสำรวจต้องเรียนรู้ประสิทธิภาพ ข้อจำกัดของการใช้อุปกรณ์และเครื่องมือที่ทำงานทั้งหมด สามารถซ่อมแซมและดัดแปลงเมื่อเกิดปัญหา สามารถประยุกต์ใช้เครื่องมือในกรณีที่จำเป็นได้ และต้องดูแลรักษาให้อุปกรณ์เครื่องมือพร้อมใช้งานตลอดเวลา
6. ก่อนใช้งานอุปกรณ์พิเศษเช่น อุปกรณ์ขึ้นลงทางดิ่ง อุปกรณ์ดำน้ำ จะต้องมีการฝึกหัดและฝึกฝนถึงขั้นตอนการทำงานให้ขึ้นใจก่อนเข้าสำรวจจริงทุกครั้ง เพราะเมื่อเกิดปัญหาจะไม่มีใครสามารถช่วยได้นอกจากตัวเองเท่านั้น
7. นักสำรวจจะต้องรู้จัดและฝึกฝนการปฐมพยาบาลเบื้องต้น สามารถช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมได้เมื่อเกิดการบาดเจ็บ เพราะกว่าชุดกู้ภัยจะมาช่วยเหลือได้ต้องใช้เวลานาน ในกรณีจำเป็นต้องสามารถช่วยให้ผู้บาดเจ็บรอดชีวิตจนกว่าหน่วยกู้ภัยจะมาถึง
8. การเข้าถ้ำทุกครั้งจะต้องคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อถ้ำ พึงตระหนักไว้ว่าถ้ำทุกที่เป็นถ้ำที่มีระบบนิเวศเฉพาะและเปราะบาง สิ่งแปลกปลอมที่เข้าไปย่อมเกิดผลกระทบที่ยาวนาน เช่น ขยะ ถ่านไฟฉายที่หมดแล้วมีมลพิษจากโลหะหนัก เศษอาหารทำให้เชื้อราและแบคทีเรียบางชนิดสามารถเจริญเติบโตได้ดีหรือแม้กระทั่งเชื้อราและแบคทีเรียที่ติดเสื้อผ้าของผู้สำรวจเอง ทุกสิ่งที่นำเข้าไปจะกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมสำหรับถ้ำเสมอต้องนำกลับออกมาด้วยเท่าที่จะเป็นไปได้และจงรบกวนสิ่งมีชีวิตในถ้ำให้น้อยที่สุด”
สำหรับผู้ที่ต้องการเป็นนักสำรวจถ้ำจะต้องตระหนักไว้เสมอและถามตัวเองก่อนเข้าสำรวจถ้ำทุกครั้งว่า “คุณรู้จักถ้ำดีเพียงใด” การสำรวจถ้ำธรรมชาติที่ยังไม่เคยมีผู้ใดย่างกรายเข้าไปก่อน ผู้สำรวจจะต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับถ้ำ เช่น ธรณีวิทยา อุทกวิทยา ตะกอนภายในถ้ำ กลไกลของอากาศภายในถ้ำ นิเวศวิทยาภายในถ้ำ โบราณคดี ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้สามารถลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับถ้ำ ความปลอดภัยในชีวิตของตนเอง ค่อย ๆ เรียนรู้และสะสมประสบการณ์ ควรศึกษาจากการติดตามผู้ที่มีประสบการณ์เท่านั้น ตระหนักไว้เสมอว่า นักสำรวจถ้ำมืออาชีพที่มีประสบการณ์เป็นสิบ ๆ ปีได้เสียชีวิตไปหลายคนจากอุบัติเหตุในการสำรวจ ความไม่พร้อมและความประมาท
ก้าวย่างเพื่อหยุดยั้งความเปลี่ยนแปลง
ทุกวันนี้ไม่เพียงแต่ถ้ำเท่านั้นที่รอการค้นพบ สำรวจ ศึกษา และอนุรักษ์จากนักสำรวจ นักวิชาการในแขนงต่าง ๆ ทั้งนี้ยังรวมไปถึงพื้นที่คารส์ตทั้งหมดในประเทศไทยที่ต่างก็มีความสัมพันธ์ต่อการคงอยู่ของถ้ำที่มีคุณค่าในประเทศไทย
การสำรวจถ้ำในประเทศไทยยังถือว่าอยู่ในช่วงของการเริ่มต้น โดยเริ่มจากกรมป่าไม้ในช่วงเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา เพื่อสำรวจถ้ำต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ความรับผิดชอบแต่ก็เป็นการสำรวจเบื้องต้นและเป็นการวางรากฐานของการจัดการถ้ำในอนาตคเท่านั้น หลังจากนั้นเกือบ 2 ปีงานการสำรวจวิจัยเเต็มรูปแบบกี่ยวกับถ้ำในประเทศไทยได้เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2540 เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และสร้างบุคคลากรที่สามารถทำงานด้านการสำรวจถ้ำในระดับของมืออาชีพ ภายใต้การสนับสนุนด้านเงินทุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ในการศึกษา 2 พื้นที่โครงการคือ โครงการสำรวจถ้ำในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร และโครงการสำรวจถ้ำในอำเภอปางมะผ้า จ. แม่ฮ่องสอน เราคาดว่าหลังจากเสร็จสิ้นโครงการทั้งสองนี้แล้ว เราจะมีบุคคลากรไทยที่สามารถดำเนินการในการสำรวจวิจัยถ้ำในระดับของมืออาชีพ สามารถทำความเข้าใจกับปริศนาของโครงข่ายใต้ดินอันซับซ้อน รู้ถึงคุณค่าความสำคัญทางด้านต่าง ๆ ของถ้ำอย่างถูกต้อง สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นฐานข้อมูลในการจัดการใช้ประโยชน์ถ้ำอย่างยั่งยืนในอนาคต
การทำการศึกษาและสำรวจคุณลักษณะ ระบบนิเวศของถ้ำในสภาพธรรมชาติที่ยังไม่เคยมีมนุษย์คนใดเหยียบย่ำเข้าไปก่อน การวิจัยที่ต้องแข่งขันกับปริมาณความต้องการใช้ถ้ำเพื่อสนองตอบกระแสการท่องเที่ยวที่ต้องการใช้ประโยชน์ถ้ำที่มีคุณค่าในพื้นที่อื่นๆ
ความเสื่อมโทรมของถ้ำจากปัญหาขยะจากนักท่องเที่ยว เช่น ถ้ำเชียงดาว การขีดเชียนตามผนังถ้ำ การติดตั้งไฟและอุปกรณ์ส่องสว่างถาวร โดยไม่ได้พิจารณาสภาพสมดุลย์ของอุณหภูมิ ความชื้นและการหมุนเวียนของอากาศภายในถ้ำ การจับต้องหินงอกหินย้อย การเดินบนพื้นถ้ำโดยไม่มีการกำหนดเส้นทางที่แน่นอน และการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกถาวรภายในถ้ำ ล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อความสมดุลย์ของถ้ำ และทำให้ถ้ำเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว ถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ถ้ำจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร สมดุลย์ของระบบนิเวศห่วงโซ่อาหารภายในถ้ำจะเกิดอะไรขึ้น สัตว์ถ้ำชนิดพิเศษเหล่านี้จะสูญพันธุ์ไปหรือไม่จากการรุกรานของกิจกรรมท่องเที่ยว ถ้ำที่เสื่อมโทรมไปแล้วไม่มีคนสนใจเข้าชมแล้วจะทำอย่างไรต่อไป การฟื้นสภาพของถ้ำจะใช้เวลานานเท่าใด หากถ้ำที่เปิดใช้ไปแล้วเสื่อมโทรมจนไม่มีนักท่องเที่ยวสนใจเข้าชม ทางออกก็คือการบุกเบิกเปิดถ้ำใหม่เพื่อดึงดูดให้กิจกรรมการท่องเที่ยวเข้ามาพร้อมกับรายได้ครั้งใหม่กระนั้นหรือ
ตราบใดที่ยังขาดความเข้าใจที่ถูกต้องถึงคุณค่าและความเปราะบางของถ้ำ ขาดการควบคุมการเปิดใช้ถ้ำ ขาดการวางแผนการใช้ประโยชน์อย่างรอบด้าน อนาคตของทรัพยากรถ้ำในประเทศไทย คงเหลือเพียงแค่รายงานการสำรวจว่ามีการค้นพบปลาชนิดใหม่ของโลกแต่ได้สูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยในเวลาอันรวดเร็วหลังจากการเปิดถ้ำเพื่อใช้ประโยชน์ไม่กี่ปี
ภาพถ่ายที่สวยงามของถ้ำต่างๆ อาจเป็นเพียงแค่บทบันทึกของอดีตที่แสนหวานเพราะความสวยงามของถ้ำเหล่านั้นกำลังจะถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วด้วยความคึกคะนองของนักท่องเที่ยวและการปล่อยปละละเลยขององค์กรที่เกี่ยวข้อง
ธรรมชาติได้ก่อกำเนิดสายพันธุ์ของสิ่งมีชิวิตใหม่ ๆ รวมไปถึงประติมากรรมธรรมชาติซึ่งเป็นสิ่งอัศจรรย์ใช้ระยะเวลาเป็นหมื่น ๆ เป็นล้าน ๆ ปี และประติมากรรมเหล่านี้มีความเปราะบางมากเมื่อถูกทำลายลงจากน้ำมือของมนุษย์ แล้วก็จะเป็นการสูญเสียตลอดกาลเพราะระบบนิเวศในถ้ำเกือบจะเป็นระบบปิด ซึ่งไม่ฟื้นตัวเร็วเหมือนกับระบบนิเวศของป่า ซึ่งมีความหลากหลายและมีการทดแทนและคืนสู่สภาวะสมดุลย์ ได้รวดเร็วกว่าหลายร้อย หลายพันเท่า
และวันนี้นักสำรวจถ้ำกำลังทำการสำรวจและศึกษา เพื่อให้คนรุ่นต่อไปได้พบเห็นและมีโอกาสรู้จักกับธรรมชาติในโลกที่ไม่ต้องการแสงสว่าง แม้การสำรวจจะเต็มไปด้วยความเสี่ยงและอันตรายที่รออยู่ข้างหน้า แต่นักสำรวจถ้ำก็ยังคงเดินหน้าต่อไปเพื่อให้การสำรวจนำไปสู่การวางแผนในการรักษาถ้ำให้รอดพ้นจากความเปลี่ยนแปลงอันเกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์